BAY คาดสินเชื่อบ้านครึ่งปีหลังโตสูงกว่า 4% ในครึ่งปีแรก,สินเชื่อส่วนบุคคลปีนี้โตได้ 2% แม้รับผลกระทบเกณฑ์ใหม่ธปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 3, 2017 15:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า ธนาคารคาดว่าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตสูงกว่าครึ่งปีแรกที่เติบโต 4% และสูงกว่าตลาดที่เติบโต 2% โดยในช่วงครึ่งปีหลังการเติบโตของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมาจากการโอนที่เพิ่มมากขึ้น โดยปกติในช่วงครึ่งปีหลังจะมีสัดส่วนการโอนโครงการที่อยู่อาศัยมากกว่าครึ่งปีแรก หรือสัดส่วนราว 60% ของยอดโอนทั้งปี ทำให้ความต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลังมีมากขึ้น เชื่อว่าจะจะผลักดันให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 11% ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ยังคุมให้อยู่ที่ไม่เกิน 2% ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก

อีกทั้งธนาคารตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาด (market share) ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มเป็นอันดับที่ 3 จากปัจจุบันที่อยู่อันดับที่ 5 โดยมียอดสินเชื่อคงค้างของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 2.04 แสนล้านบาท กลยุทธ์ที่จะผลักดันการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจะเน้นการรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าของพอร์ตสินเชื่อคงค้างได้ดีกว่าการเน้นลูกค้าประเภทรีไฟแนนซ์ แต่อย่างไรก็ตามธนาคารจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง เพื่อทำให้พอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพที่ดี และเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อ

"เรารุกหนักในส่วนของสินเชื่อบ้านมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเราต้องปล่อยสินเชื่อใหม่ 5-6 หมื่นล้านบาท/ปี เพื่อทำให้เรามีมาร์เก็ตแชร์ที่สูงขึ้น ซึ่งเราตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะมีมาร์เก็ตแชร์ขึ้นเป็นอันดับ 3 จากตอนนี้อันดับ 5 อีกทั้งเราจะเปิดบริการออนไลน์ยื่นขอสินเชื่อเป็นธนาคารแรก ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4/60 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า"นายพงษ์อนันต์ กล่าว

นายพงษ์อนันต์ กล่าวว่า ด้านสถานการณ์ฟองสบู่ของภาคอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นอย่างเช่นเดียวกับปี 40 เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑที่ดี ขณะที่สถานการณ์การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์มีความแตกต่างจากในอดีต โดยขณะนี้ธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังในการลงทุนและในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีอัตราการอนุมัติสินเชื่ออยู่ที่ 40-50% จากปี 40 ที่มีอัตราการอนุมัติสูงถึง 80-90% อีกทั้งยังไม่พบปัญหาการเลิกจ้างงานเหมือนในปี 40

ส่วนสถานการณ์ซัพพลายล้นตลาดมองว่าเป็นแค่ในบางทำเล แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการจะมีการปรับกลยุทธ์ และการพัฒนาโครงการใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ด้านสินเชื่อส่วนบุคคลในปีนี้ ธนาคารยังมั่นใจเติบโตได้ตามเป้าหมาย 2% จากครึ่งปีแรกที่เติบโต 1% แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการคุมเข้มบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเฉพาะการควบคุมเพดานการอนุมัติวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1.5 เท่า สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/เดือน เป็นต้น คาดว่าจะกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล 2-3% ขณะที่ธนาคารจะควบคุม NPL ของสินเชื่อส่วนบุคคลไม่ให้เกิน 3% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับครึ่งปีแรก

นายพงษ์อนันต์ กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง แม้จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะบางกลุ่มมีความอ่อนไหว ทำให้กังวลว่าอาจจะกระทบต่อกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปีนี้ ดังนั้น การปล่อยสินเชื่อรายย่อยของธนาคารยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวังเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง โดยที่ผ่านมาธนาคารมีเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุม ซึ่งจะพิจารณาจากรายได้ของผู้ขอสินเชื่อเป็นหลัก และเน้นลูกค้าที่มีรายได้สูง ประกอบกับมีภาระการผ่อนชำระเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพดี

ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ธนาคารจะมุ่งเน้นการสร้างความเติบโตทั้งด้านเงินฝาก การลงทุน และสินเชื่อ โดยในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมามีการจัดตั้งสายงานกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายย่อย หรือ Business Banking Division เพื่อดูแลและสนับสนุนให้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเติบโตผ่านช่องทางสาขาทั่วประเทศ พร้อมปรับปรุงขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อให้ยืดหยุ่นตามศักยภาพของลูกค้า แต่ยังคงเน้นการให้ได้สินเชื่อคุณภาพดี โดยมีทีมพิจารณาสินเชื่อสำหรับลูกค้าในกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแผนขยายเครือข่ายสาขาและเอทีเอ็มเพิ่มเติม เพื่อทำให้มีสาขาธนาคาร 662 สาขา และจำนวนเอทีเอ็ม 6,550 เครื่อง ภายในสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ ธนาคารมั่นใจรายได้ของธุรกิจลูกค้ารายย่อยในปี 60 ยังเติบโตได้ 15% ตามเป้าหมาย โดยมีสัดส่วนรายได้ของธุรกิจสินเชื่อรายย่อยของธนาคาร แบ่งเป็น รายได้จากค่าธรรมเนียม 40% รายได้จากดอกเบี้ย 50% และ อื่นๆ 10% แต่ในอนาคตมองว่าหากมีลูกค้าใช้บริการพร้อมเพย์เพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมลดลงต่ำกว่า 40% โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่ใช้พร้อมเพย์สูงถึง 900,000 บัญชี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ