THE ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ที่ 1.6-1.7 หมื่นลบ.รับอานิสงส์โครงการลงทุนรัฐ-เอกชน,Q3/60 ทำกำไรโต 398%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 14, 2017 13:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เดอะ สตีล (THE) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 3/60 มีกำไรสุทธิ 132.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 398% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 26.65 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมในงวดไตรมาส 3/60 จำนวน 4,334.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,287.46 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของรายได้และกำไร เนื่องจากรับผลดีจากปริมาณการขายเหล็กเพิ่มขึ้น 17.80% และราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 21 บาทต่อกิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นกว่า 20% ภายหลังประเทศจีนเพิ่มมาตรการคุมเข้มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น ในไตรมาส 3/60 อยู่ที่ระดับ 7.04% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2559 อยู่ที่ระดับ 3.27%
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในงวดไตรมาส 3/60 หนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 3,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 244 ล้านบาท เมื่อเทียบจากสิ้นปี 2559 หนี้สินอยู่ที่ระดับ 3,677 ล้านบาท และทำให้อัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(D/E)เพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 2.15 เท่า จากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 2.13 เท่า แต่เป็นผลมาจากการใช้สินเชื่อระยะสั้นมากขึ้นตามการสั่งซื้อสินค้า เพื่อรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นในงวดไตรมาส 3/60 รวมถึงรองรับการเติบโตในไตรมาส 4/60

บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายเหล็กในปีนี้ คาดว่าจะมีจำนวน 1 ล้านตัน แบ่งสัดส่วนเป็นเหล็กรูปพรรณ 75% และเศษเหล็กสัดส่วน 25% เพิ่มจากปีที่ผ่านมามีปริมาณขายเหล็ก 9 แสนตัน รับผลบวกจากโครงการลงทุนของภาครัฐและงานภาคเอกชน  “โครงการลงทุนของภาครัฐและเอกชน สนับสนุนให้เกิดความต้องการใช้เหล็กในปริมาณที่สูง ขณะที่ในประเทศไทยพบว่ามีผู้ให้บริการเหล็กแบบครบวงจรเพียง 3 ราย โดยมียอดขายเหล็กรวมกัน 2.5 ล้านตันต่อปี และ THE เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้บริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่าปริมาณขายเหล็กในปีนี้ น่าจะแตะระดับ 1 ล้านตันได้ และเชื่อว่าแนวโน้มความต้องการใช้เหล็กจะดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2561" นายบุญชัย กล่าว ทั้งนี้ ตามที่มีข้อสังเกตของนักลงทุนในประเด็นราคาหุ้นของ THE จากระดับ 9 บาทเมื่อช่วงต้นปี แต่ขณะนี้ปรับตัวในระดับ 5 บาทนั้น บริษัทขอชี้แจงว่าราคาหุ้นไม่ได้ลดลงจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นผลจากการปรับราคามูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) จาก ระดับ 1 บาท มาอยู่ที่ระดับ 0.50 บาท ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขสัดส่วนการกระจายการถือหุ้น (Free Float) ให้เป็นไปตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ