BGRIM จะสรุปแผนร่วมทุนพันธมิตรทำโซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม 420 MW ปลายเม.ย. ,ยันไม่กระทบหากรัฐหยุดรับซื้อพลังงานทดแทนใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 5, 2018 08:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในเวียดนามและในอาเซียนขนาด 420 เมกะวัตต์ (MW) ที่ร่วมกับบริษัท Xuan Cau Co., Ltd. จะสรุปการลงนามสัญญาร่วมทุนภายในปลายเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งขณะนี้ได้มีการพิจารณาคัดเลือกผู้รับเหมาและหารือร่วมกับสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) และรับรู้รายได้ภายในเดือนมิ.ย.62 ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันสัดส่วนพลังงานทดแทนและการลงทุนในต่างประเทศตามเป้า 30% ใน 5 ปี

ส่วนการที่รัฐบาลส่งสัญญาณจะไม่รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มเติมในช่วง 5 ปีนี้ไม่ได้มีผลต่อบริษัท เนื่องจากโครงสร้างรายได้หลักมาจาก โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติประเภทรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายเล็ก (SPP) กว่า 2,200 เมกะวัตต์ จากโครงการทั้งหมดที่มีสัญญาแล้วทั้งสิ้น 2,518 เมกะวัตต์ และบริษัทมีโอกาสในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เช่นโครงการพลังงานน้ำในสปป. ลาว โครงการสายส่งในกัมพูชาและเวียดนาม และโครงการพลังงานทดแทนในฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

อยากไรก็ตามหากบริษัทจะลงทุนโครงการพลังงานทดแทนในประเทศ จะต้องเป็นโครงการที่มีผลตอบแทนที่เหมาะสม เช่นโครงการโซลาร์ราชการ 31 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดดำเนินการในปีนี้ โครงการขยะอุตสาหกรรม 5 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดดำเนินการในปี 2562 หรือโครงการโซลาร์รูฟท็อป ในประเทศจำนวนประมาณ 40-70 เมกะวัตต์ ในรูปแบบการร่วมทุนกับผู้ให้บริการซึ่งดูแลกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ และทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ที่ระยะเวลา 15-20 ปี นอกจากนี้เพื่อให้โครงการโซลาร์รูฟท็อป ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความมั่นคงของกระแสไฟฟ้า บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการกักเก็บพลังงาน Energy Storage และระบบ Smart Grid

"เป็นเพียงตัวอย่างของทิศทางการเติบโตของ BGRIM ที่เราสื่อสารมาตลอดว่าการเติบโตต้องเป็นการเติบโตที่มีคุณภาพ โดยหากรัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับซื้อพลังงานทดแทน BGRIM ยังสามารถเติบโตได้ในต่างประเทศที่ยังมีความต้องการไฟฟ้าอีกมาก และต้องการความเชี่ยวชาญจากผู้พัฒนาตัวจริงอย่าง BGRIM เข้าไปมีส่วนร่วม"นางปรียนาถ กล่าว

นางปรียนาถ กล่าวด้วยว่า โครงการ SPP ที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และมีสัญญาซื้อขายกับภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจาก SPP สามารถขายตรงให้กับลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบในรูปแบบของ Distributed Generation Unit ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะเปิดให้มีการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในรูปแบบของ SPP Power Pool เพื่อรองรับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพและมีเสถียรภาพด้วย ปัจจุบันลูกค้าของบริษัทตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อมตะนคร อมตะซิตี้ระยอง บางกะดีและเหมราชฯ

ส่วนแผนงานของบริษัทในปี 2561 บริษัทมีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและมีแผนเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ 11 โครงการ รวมกำลังผลิต 445 เมกะวัตต์ คิดเป็นการเติบโตกว่า 27% โดยโครงการ SPP ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ได้ประเดิมเปิดดำเนินการเป็นโครงการแรกไปแล้วเมื่อ 1 ก.พ.61 และโครงการอื่น ๆ ก็ยังเป็นไปตามแผนที่บริษัทวางไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ