โบรกฯมองดัชนี SET ช่วง H2/61 แกว่งในกรอบ 1,650-1,920 จุด รับแรงหนุนจากการเลือกตั้งชัดเจน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 5, 2018 14:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ มองดัชนี SET ช่วงครึ่งหลังปีนี้ในกรอบ 1,650-1,920 จุด ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป้าหมายดัชนีปี 61 ระดับเดิม เนื่องจากยังมีความหวังว่าดัชนีฯจะมีแรงดีดกลับขึ้นมา รับแรงหนุนจากความชัดเจนในการเลือกตั้งที่รัฐบาลประเมินไว้ว่าจะดำเนินการได้เร็วสุดเดือนก.พ. 62 และอย่างช้าในเดือนพ.ค.62 ขณะที่บางแห่งก็ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET หลังจากคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยรวมอาจจะอ่อนตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม

ขณะที่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งกรณีของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า เพราะจะมีผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงการปรับลดการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯก็จะมีผลต่อ Fund Flow ในระบบที่อาจจะหดหายไป ตลอดจนเงินบาทที่อ่อนค่าลงก็เป็นตัวที่จะกระตุ้นให้เงินทุนต่างชาติไหลออก

อย่างไรก็ดีโบรกเกอร์ มองว่าช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังมีหุ้นที่น่าสนใจลงทุน อย่างกลุ่มแบงก์, น้ำมัน, โรงกลั่น, ปิโตรเคมี, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์, ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, โรงพยาบาล และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น และราคาน้ำมันก็ยืนอยู่ในระดับสูง ซึ่งมองตลาดหุ้นไทยน่าจะ Outperform ดีในช่วงก่อนเกิดการเลือกตั้ง

ดัชนี SET ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,852.51 จุดเมื่อวันที่ 27 ก.พ.61 ก่อนจะปรับลดลงมา โดยล่าสุดพักเที่ยงอยู่ที่ 1,607.71 จุด ลดลง 21.49 จุด หรือ 1.32% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ดัชนีปรับลดลง 8.3%

          โบรกเกอร์                           เป้าดัชนีฯปี 2561 (จุด)
          โนมูระ พัฒนสิน                        คงเป้า 1,904
          อาร์เอชบี (ประเทศไทย)                คงเป้า 1,900
          ไทยพาณิชย์                           คงเป้า 1,900
          บัวหลวง                             คงเป้า 1,760
          กรุงศรี                              ลดเป้าเป็น 1,650 จากเดิม 1,800
          ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)           1,920 กำลังทบทวนที่จะปรับลงเหลือ 1,850 เบื้องต้น
          เคทีบี (ประเทศไทย)                   1,856 กำลังปรับลดเป้า-ขึ้นอยู่กับการเติบโตกำไรบจ.

*CNS คงเป้าดัชนีฯปีนี้ไว้ที่ 1,904 บนฐานของการเลือกตั้งภายในเม.ย.62

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริหารการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าหมายดัชนีฯปี 61 ไว้ที่ 1,904 จุด แต่ก็ขึ้นอยู่บนฐานของการเกิดการเลือกตั้งภายในเดือน เม.ย.62 ซึ่งถ้าไม่เกิดการเลือกตั้งมองเป้าหมายดัชนีฯจะอยู่แค่ 1,800 จุด

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มแบงก์, น้ำมัน, ปิโตรเคมี, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจภายในประเทศมีการฟื้นตัวขึ้น และราคาน้ำมันก็ยืนอยู่ในระดับสูง ซึ่งมองตลาดหุ้นไทยน่าจะ Outperform ดีในช่วงก่อนเกิดการเลือกตั้ง

*BLS คงเป้าดัชนี SET ปี 61 ไว้ที่ 1,760 จุด คิด P/E 16 เท่า

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยว่า ยังคงเป้าดัชนี SET ปี 61 ไว้เท่าเดิมที่ 1,760 จุด คิดเป็น P/E 16 เท่า โดยกำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10%

ปัจจัยที่จะต้องติดตามในครึ่งหลังปีนี้ เป็นเรื่องการเลือกตั้งว่าจะมีความชัดเจนออกมาเมื่อใด และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) เพราะจะมีผลต่อสภาพคล่องในระบบด้วย รวมถึงติดตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ อีกทั้งยังต้องติดตามผลกระทบจากการกีดกันการค้า อันเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า

ส่วนเรื่องการยุติการทำ QE ก็คาดว่าคงจะไม่รีบเร่ง น่าจะค่อย ๆ ทำการลดการทำ QE เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ ส่วนอัตราดอกเบี้ยทาง ECB ก็คงจะไม่รีบปรับอัตราดอกเบี้ย

นายชัยพร กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งหลังปีนี้หุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุนมองเป็นหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยว, หุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่คาดว่ายอดขายจะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง และหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ส่วนใหญ่มองหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งน่าจะดีขึ้น

*KTBST กำลังปรับลดเป้าดัชนี SET จากเดิม 1,856 จุด ขึ้นอยู่กับการเติบโตกำไรบจ.

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST กล่าวว่า อยู่ระหว่างการปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 2561 แต่จะปรับลดลงมาอยู่ระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับกำไรของบริษัทจดทะเบียนด้วย โดยเป้าดัชนีฯเดิมที่ระดับ 1,856 จุด นั้นคาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโต 9.5%, ดัชนีฯที่ระดับ 1,820 จุด คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโต 7.4%, ดัชนีฯที่ระดับ 1,778 จุด คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโต 5% และดัชนีฯที่ระดับ 1,694 จุด คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโต 0% ซึ่งคิดบน P/E ที่ 17.3 เท่า

ทั้งนี้ ตลาดมีปัจจัยบวกจากการที่รับรู้ประเด็นลบไปมากแล้ว ทำให้ดัชนีฯเทรด P/E ที่ต่ำมาก และการกำหนดการเลือกตั้งอย่างชัดเจนก็น่าจะช่วยหนุนตลาดฯได้ ส่วนปัจจัยลบของตลาดฯจะมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น และการลด QE ก็น่าจะทำให้เงินไหลออกจากระบบ รวมไปถึงนักลงทุนต่างชาติก็ยังลดน้ำหนักลงทุนใน Emerging Market และเงินบาทอ่อนค่าก็กระตุ้นเงินไหลออกด้วย

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็นสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ และติดตามนักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายหุ้นไทยเมื่อใด รวมถึงการบังคับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ก็ยังมีความไม่แน่นอนด้วย ส่วนราคาน้ำมันที่แกว่งตัวบริเวณ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล ก็ถือว่าเป็นบวก แต่ถ้าเกิน 70 เหรียญฯ/บาร์เรลมากจะไม่ดี

สำหรับความน่าสนใจลงทุนช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะพิจารณาถึงแนวโน้มผลประกอบการ โดยแนะ"ถือ"อย่างหุ้นในกลุ่มแบงก์, อิเล็คทรอนิกส์ , ค้าปลีก, โรงกลั่น, ผู้ให้บริการมือถือ และแนะ"เพิ่มน้ำหนักลงทุน"หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน, โรงพยาบาล และที่อยู่อาศัย ส่วนที่แนะนำ"ลดน้ำหนักลงทุน"เป็นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, สายการบิน, ปิโตรเคมี, ผู้ผลิตไฟฟ้า

*KSS ปรับลดเป้าดัชนี SET ปีนี้ลงเหลือ 1,650 จากเดิม 1,800 จุด

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี (KSS) กล่าวว่า ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 61 เหลือ 1,650 จุด จากเป้าหมายเดิม 1,800 จุด คิดเป็น P/E 15 เท่า และคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะเติบโต 9% เนื่องจากมองว่ากำไรของกลุ่มพลังงานในช่วงที่เหลือของปีนี้จะไม่เติบโตเหมือนอย่างไตรมาส 1/61 ที่ได้มีการดึงกำไรขึ้นไปแล้ว และตอนนี้ราคาน้ำมันก็เริ่มทรงตัว ส่วนกลุ่มแบงก์ก็อาจทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนโดยรวมปรับตัวลงได้เนื่องจากมีเรื่องการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการทำธุรกรรมออนไลน์

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มาก ซึ่งหุ้นกลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ก็จะได้ประโยชน์ แต่ต้องอยู่บนสมมติฐานที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในครึ่งปีหลังก็มองเป็นหุ้นกลุ่มแบงก์ ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็น่าสนใจลงทุน เนื่องจากมีการเทรด P/E ต่ำ และปีนี้กำไรจะดูดีขึ้น เนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำในปีที่แล้ว

สำหรับปัจจัยที่จะต้องติดตามเป็นเรื่องที่สหรัฐฯจะจัดเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีในวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งต้องติดตามว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องติดตามว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกี่ครั้งในปีนี้ หลังการประชุมล่าสุดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ รวมถึงจะต้องติดตามประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าด้วย เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯด้วย

อีกทั้ง ยังต้องติดตามในเดือนก.ย.ที่ ECB จะปรับลดวงเงินตามมาตรการ QE ซึ่งก็อาจจะทำให้ Fund Flow มีความผันผวนได้ ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังควรจะระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นให้มาก เพราะมีโอกาสที่กระแสเงินทุนจะยังไหลออกอยู่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ