(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์จากแรงซื้อกลับหลังร่วงแรง-คลายกังวลเหตุการณ์ในตุรกี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 15, 2018 09:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวดึ์ขึ้นได้ตาม Emerging Market โดยตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์เช้านี้รีบาวด์กลับขึ้นมาจากแรงซื้อกลับหลังเห็นว่าค่าเงินนิ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในตุรกี ซึ่งตลาดบ้านเราก็น่าจะได้รับแรงซื้อกลับเข้ามาในวันนี้ด้วยหลังจากที่เมื่อวานนี้ปรับตัวลงแรงพอควรจากแรงขายของกองทุนและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ

นอกจากนี้ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็ออกมากลาง ๆ ไม่ได้สร้างความกดดันให้กับตลาดฯ แนะให้ติดตามการประมูลคลื่น 1800 MHz ในปลายสัปดาห์นี้

พร้อมให้แนวรับ 1,690 จุด ส่วนแนวต้าน 1,707 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,299.92 จุด เพิ่มขึ้น 112.22 จุด (+0.45%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,870.89 จุด เพิ่มขึ้น 51.19 จุด (+0.65%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,839.96 จุด เพิ่มขึ้น 18.03 จุด (+0.64%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 12.04 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.71 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 28.21 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 3.05 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.94 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.80 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 6.79 จุด

ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันฉลองอิสรภาพ

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ส.ค.61) 1,695.35 จุด ลดลง 10.61 จุด (-0.62%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,149.29 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ส.ค.61
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ส.ค.61) ปิดที่ 67.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.2%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ส.ค.61) ที่ 7.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.30 อ่อนค่าตามทิศทางภูมิภาค จากความกังวลวิกฤติเศรษฐกิจของตุรกี
  • วิกฤติค่าเงินตุรกีป่วนตลาดเกิดใหม่ "อาร์เจนตินา" ขึ้นดอกเบี้ยอีก 5% สู่ระดับ 45% หวังสกัดเปโซร่วงหนัก ด้านผู้นำตุรกี เล็งคว่ำบาตรสินค้าสหรัฐ ขณะ "แบงก์ชาติ" เกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย เหตุส่งออกไทยไปตุรกีแค่ 0.5% ด้าน "พาณิชย์" ลั่นไม่กระทบเป้าส่งออกไทย
  • นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยในงานประชุมวางแผนและออกแบบเมืองอย่างชาญฉลาดเพื่อยกระดับทางเศรษฐกิจและสังคมไทยว่า ปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่าปีก่อนที่ขยายตัว 8% หรือมียอดรวม 6.22 แสนล้านบาท ขณะที่ปี 2560 มีมูลค่า 5.76 แสนล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากการพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งเริ่มทยอยแล้วเสร็จ และกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัว
  • ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 2/2561 สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5.4% จากที่ขยายตัว 4.7% ในไตรมาสแรก และมีการกระจายตัวมากขึ้น โดยสินเชื่อธุรกิจมีน้ำหนัก 66.7% ของสินเชื่อรวมขยายตัวได้ 4.1% มาจากการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี (ที่ไม่รวมธุรกิจการเงิน) เติบโต 7.5% จากธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจอาคารชุดที่พักอาศัยและธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไป

-"พาณิชย์"วิเคราะห์กรณีคู่ค้าทำสงครามการค้าตอบโต้สหรัฐฯ ในกลุ่มสินค้าเกษตร พบสินค้าไทยหลายรายการจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น เพื่อไปทดแทนสินค้าจากสหรัฐฯ เผยข้าว ผลไม้ กากเหลือจากการผลิตสตาร์ช มีโอกาสในจีน ข้าวโพดหวานในตลาดอียู

  • กรมธุรกิจพลังงานโชว์ยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิงครึ่งปีแรก เติบโต 3.84% สะท้อน ศก.ไทยดีขึ้น ด้านโรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังไม่สดใสยอดใช้ไม่กระเตื้องและเจอพิษราคาตกต่ำเหลือผลิตแค่ 3 แห่ง

*หุ้นเด่นวันนี้

  • NCL-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของ บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL)) เทรดวันแรกจำนวน 64,877,441 หน่วย อายุ 16 เดือน ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท/หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1.50 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิ 2.40 บาท/หุ้น พร้อมกำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 28 มิ.ย.62 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 6 ธ.ค.62
  • KKP (กรุงศรี) ราคาเป้าหมาย 85 บาท ทยอยซื้อเก็งกำไรก่อนประกาศจ่ายปันผลครึ่งปี เบื้องต้นคาดว่า KKP จะจ่ายปันผลในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 2 บาท ให้ Dividend yield ประมาณ 2.6% คาดประกาศจ่ายปันผลในช่วงปลายเดือนนี้
  • ERW (เอเอสแอล) แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 10 บาท รายงานกำไรสุทธิ Q2/61 ลดลง 48%YoY ต่ำกว่าที่คาด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก EBITDA margin ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปิดปรับปรุงโรงแรม JW Marriott มากกว่าที่เราคาด อย่างไรก็ตามกลุ่ม Hop Inn สามารถเติบโตได้โดดเด่น โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้น 11% โดยยังคงมุมมองเชิงบวก
  • BJC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) แนะนำ"ทยอยสะสม"มองกำไร Q2/61 สูงกว่าคาดที่ 1,396 ล้านบาท (+40%YoY,-3%QoQ) ส่วนหนึ่งจาก FX แต่หากนับเฉพาะ Core พบกำไรโตเด่นเทียบกับกลุ่มค้าปลีกที่ 32% YoY ที่ 1,316 ล้านบาท จากยอดขายเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ และ Margin เติบโตดี ในขณะที่ SSSG ของ BIGC ติดลบลดลงเหลือ 0.5% เทียบกับ Q2/60 ลบมากถึง 15.2% คาด BJC จะเป็นหนึ่งในค้าปลีกที่มีโอกาสกำไร Q3/61 ทั้ง YoY, QoQ ส่วนบริษัทอื่นอาจปรับตัวลงตาม Seasonal ส่วนหนึ่งจากลับรายการสำรองค่าเสียหาย BIGC ส่วน Q4 รับได้ประโยชน์ขยายกำลังการผลิตขวดเพิ่ก 13% เป็น 3,435 ตัน/วัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ