บล.กสิกรไทย คาด SET index ปี 62 ที่ 1,766 จุด จากคาด GDP โต 3.8% หลังเลือกตั้งชัด-ปัจจัยตปท.ผ่อนคลาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 7, 2018 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) ปี 62 จะอยู่ที่ระดับ 1,766 จุด จากการคาดการเศรษฐกิจไทยปี 62 จะเติบโตในระดับปานกลางที่ระดับ 3.8% จากมีการคาดการณ์การเติบโตของมูลค่าการส่งออกของไทยที่ 5.5% ประกอบกับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับการเปิดประมูลโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ

ขณะเดียวกันแม้ปัจจุบันการบริโภคในประเทศยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงแต่เชื่อว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นก่อนการเลือกตั้ง โดยการบริโภคยังได้แรงหนุนจากรายได้นอกภาคเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ภาคเกษตรแม้จะถูกถ่วงด้วยราคายาง แต่ในส่วนของข้าวมีการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลมีการออกมาตรการกระตุ้นเฉพาะกลุ่ม อาทิ ผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว

ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศคาดว่ามีแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น จากเชื่อว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งได้ในวันที่ 24 ก.พ.62 หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จะมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายในวันที่ 11 ธ.ค.61 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะมีการจัดประชุมพรรคการเมืองภายใน 150 วัน ซึ่งทำให้คาดว่ากรอบการเลือกตั้งจะอยู่ในช่วง 12 ธ.ค.61-9 พ.ค.62

ทั้งนี้หลังมีการประกาศร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.แล้ว กกต.จะมีการประกาศหลักเกณฑ์การเลือกตั้งและข้อกำหนดต่าง ๆ และประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ก.) การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งคาดว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองสามารถหาเสียงได้ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลา 60 วัน อย่างไรก็ตาม หากมีการเลื่อนวันเลือกตั้งคาดว่าจะไม่เกินช่วงกลางเดือนมี.ค.62

นายประกิต กล่าวว่า ตามสถิติที่ผ่านมาหากมีการเลือกตั้ง เงินบาทจะปรับตัวแข็งค่าล่วงหน้า 1-2 เดือนก่อนการเลือกตั้งเฉลี่ยราว 1% ซึ่งเงินบาทมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับ SET Index ด้วยค่าสหสัมพันธ์ -85% ประกอบกับมีแนวโน้มการพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงต้นปี ทำให้คาดว่ามีโอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีโอกาสสูงกว่าสหรัฐ ที่ 2.9% จึงมีโอกาสที่กระแสเงินไหลเข้าตราสารหนี้ และทำให้เงินบาทแข็งค่าอีกครั้ง

นอกจากนี้แรงกดดันจากดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวลดลง จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับโทนจาก Hawkish เป็น Dovish หรือส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยที่ช้าลง ส่งผลให้ความกังวลการโจมตีค่าเงินตลาดประเทศเกิดใหม่ลดลง ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 62 และไม่ขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากคาดว่าเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจะผ่อนคลายลงในช่วงไตรมาสที่ 2/62 ส่งผลให้ครึ่งปีหลังเฟดมีโอกาสลดขนาดงบดุล

โดยแรงกดดันจากเงินเฟ้อสหรัฐผ่อนคลายต่อเนื่องตามการปรับลดลงของราคาน้ำมัน ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในกรอบ 50-65 เหรียญต่อบาร์เรล หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร ลดกำลังการผลิตน้อยกว่าตลาดคาด

สำหรับการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคาดว่าจะสามารถรู้ผลและบรรลุข้อตกลงได้ก่อน 1 มี.ค.62 เนื่องจากต่างฝ่ายต่างมีการปฏิบัติตามข้อตกลงเบื้องต้นร่วมกัน ซึ่งหากมีการทำข้อตกลงการค้าฉบับใหม่แล้ว ประเด็นการค้าโลกจะผ่อนคลายลงได้มาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในต้นปี 62 ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS) ที่จะได้รับผลบวกอิงการอุปโภคบริโภคในประเทศ, กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB, TISCO) รับผลบวกกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น, กลุ่มโรงแรม (ERW, CENTEL) รับผลบวกจากการกระตุ้นการท่องเที่ยว และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC, CK) ได้รับผลบวกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งโครงการรถไฟฟ้าและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ