บล.ทรีนีตี้ มอง SET ปีนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,800 จุด คาดเม็ดเงินไหลกลับเข้าลงทุนต่อเนื่องใน H2/62

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 17, 2019 17:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 115.3 บาท และ Forward PE ที่ 15.6 เท่า หรือที่ SET Index ระดับ 1,800 จุด โดยมองว่าทั้งปีจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,500-1,800 จุด ซึ่งที่ระดับ 1,500 จุด มีระดับ Forward PE ที่ 13 เท่า เป็นจุดที่ราคาไม่สูงและมีความเหมาะสมในการเข้าลงทุน

ทั้งนี้ มองว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้อายุ 10 ปี ที่ 4.7% จึงถือเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 4 ปี โดยในเดือน ม.ค.ปี 60 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ 5.49% และปี 58 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 4.74 %

นอกจากนี้ ทิศทางเงินทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามายังตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยจะเห็นจากค่าเงินแข็งค่าขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจดี และช่วงที่ผ่านมาได้ลดปริมาณการถือครองออกไปมาก โดยปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายเงินเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งที่ผ่านมาเงินทุนไหลเข้าไปยังประเทศเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และฟิลปินส์

ส่วนประเทศไทยเองก็เริ่มมีเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาบ้างแล้ว โดยมีการซื้อสุทธิติดต่อกันมา 5 วัน และเชื่อว่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องและมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยถือว่าเกือบต่ำสุดในรอบ 14 ปี โดยอยู่ที่ 29% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป)

"นักลงทุนต่างประเทศเริ่มทำการซื้อสะสมในตลาดหุ้นเอเซีย (ยกเว้นจีน) กว่า 800 ล้านเหรียญในช่วง 2 สัปดาห์แรกของมกราคม 62 โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลไปลงทุนที่ประเทศเกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ประเมินว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายจะไหลเข้าสู่ประเทศไทยในครึ่งปีหลังของปีนี้มากขึ้น โดยขณะนี้ต่างชาติได้เข้ามาซื้อให้เห็นบ้างแล้ว" นายวิศิษฐ์ กล่าว

สำหรับปัจจัยในประเทศที่ยังคงติดตามอย่างต่อเนื่องคือ ความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หากมีความชัดเจนออกมาและได้รับรู้นโยบายต่างๆ ที่จะมาดำเนินการต่อจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน เชื่อว่านักลงทุนจะกลับมาลงทุน และเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับมามากขึ้นไปอีก

ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยนั้นเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกยังจะไม่เกิดขึ้น และหากเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังมากสุดแค่เพียง 1 ครั้ง โดยโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อนข้างน้อย เนื่องจากการปรับขึ้นของเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงแล้ว

ขณะที่ประเมินทิศทางเศรษฐกิจโลกปีนี้ว่า เข้าสู่ภาวะอิ่มตัวไปแล้ว (Maturing Phase) โดยการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกรวมทั้งเศรษฐกิจไทยว่าจะชะลอตัวลง โดยความกังวลของสงครามทางการค้าจีนและสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออาจจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.5% ในปี 62 ซึ่งถือเป็นนโยบายการเงินที่เปลี่ยนไปจากปี 60-61 อย่างสิ้นเชิง

และหากภาพรวมเศรฐกิจสหรัฐยังคงเติบโตชะลอตัวลง คาดว่าเฟดอาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในปี 63 ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดที่มีความเสี่ยงสูง อย่างตลาดหุ้นมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงมีเสถียรภาพ โดยคาดว่าจะเติบโต 3.8% ในปี 62 เมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโต 3.5%

นอกจากนี้ยังมองภาพการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยและตราสารหนี้โลกปีนี้ เริ่มให้ผลตอบแทนที่น้อยลง หรืออาจจะติดลบ เมื่อ Mark to Market จึงทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น

นายวิศิษฐ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า บล.ทรีนีตี้ ได้ออกคำแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มปันผลสูง High Dividend Stock ซึ่งประเมินว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยจากงานวิจัยพบว่าจากสถิติ 8 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา การลงทุนลักษณะดังกล่าวจะมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนประมาณ 10% (ด้วยความเชื่อมั่น 90%) ในช่วงระยะเวลาการลงทุนเพียง 4 เดือน ของการถือครอง (ม.ค.-เม.ย.) โดยแนะนำหุ้น 5 หุ้น ได้แก่ SCC ,PTT ,ADVANC ,BBL และ KTB


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ