ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ WHA วงเงินไม่เกิน 3.5 พันลบ. ที่ระดับ "A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 1, 2019 16:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกั คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ที่ระดับ "A-" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,500 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปจ่ายชำระหนี้เดิมของบริษัท ตลอดจนนำไปใช้ลงทุนตามแผนงานและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-suit Warehouses) และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานรายได้ประจำที่บริษัทได้รับจากสินทรัพย์ให้เช่า รวมทั้งจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค และจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ในขณะที่การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงไปบางส่วนจากความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

ในปี 2561 บริษัทมีรายได้และกำไรลดลง รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทลดลง 11.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 8,688 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากยอดการโอนที่ดินที่ลดลง อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเล็กน้อยเนื่องจากการลดลงของสัดส่วนรายได้จากการขายที่ดินซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง นอกจากนี้ อัตรากำไรจากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ก็ลดลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนทรัพย์สินประเภท Built-to-Suit และ Ready-Built

การลดลงของรายได้และอัตรากำไรส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลง 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ระดับ 4,202 ล้านบาทในปี 2561 เงินทุนจากการดำเนินงานลดลง 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ระดับ 2,682 ล้านบาทในปี 2561

แม้ว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะลดลง แต่อัตราหนี้สินของบริษัทค่อนข้างคงที่ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 51.5% ณ สิ้นปี 2561 เทียบกับ 53.1% ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 8.1% ในปี 2561 เทียบกับระดับ 8.8% ในปี 2560 ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่มีดอกเบี้ยต่ำเพื่อทดแทนเงินกู้เดิมยังช่วยส่งผลดีต่ออัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.5 เท่าในปี 2561 จากระดับ 2.9 เท่าในปี 2560

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2562-2564 ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมียอดขายที่ดินที่รอโอนจำนวนมาก นอกจากนี้ การลงทุนระยะยาวในประเทศไทยคาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่ดีจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศและการมีระบบสาธารณูปโภคที่ดี นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนยังมาจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกอีกด้วย

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินจะเพิ่มขึ้นจากแผนการลงทุนจำนวนมากของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่จะจัดการภาระหนี้สินดังกล่าวได้ ทั้งนี้ การขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทและบริษัทย่อยยังมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารและตลาดทุนได้อีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจคลังสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมต่อไปได้ ตลอดจนคาดว่าบริษัทจะดูแลระดับหนี้สินให้เหมาะสมแม้ว่าจะอยู่ในช่วงขยายธุรกิจก็ตาม

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 4,500-5,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน จากสมมติฐานดังกล่าวทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 7%-9% ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากภาวะการลงทุนภาคเอกชนถดถอยลงจนส่งผลให้รายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงและลดทอนความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทก็จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน

ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและอย่างมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทสามารถปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งไปด้วยพร้อมกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ