ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร ICC ที่ "AA" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 11, 2019 10:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (ICC) ที่ระดับ "AA" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในเครือสหกรุ๊ป รวมถึง การมีสินค้าและตราสัญลักษณ์ที่หลากหลาย และมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ในการพิจารณาอันดับเครดิตนั้น ทริสเรทติ้งยังคำนึงถึงนโยบายทางการเงินที่มีความระมัดระวังและสภาพคล่องที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสินค้าแฟชั่นและสินค้าอุปโภคบริโภค

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้มแข็ง

บริษัทมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายจำนวน 3,205 แห่งทั่วประเทศ ณ เดือนมีนาคม 2562 โดยสินค้าของบริษัทมีวางจำหน่ายทั้งในห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าทั่วไป และร้านค้าของบริษัทเองครอบคลุมทั่วประเทศ

ร้านค้าทั่วไปและห้างสรรพสินค้าถือเป็นช่องทางจัดจำหน่ายหลักของบริษัทซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 47% และ 34% ของยอดขายรวมในปี 2561 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยอดขายสินค้าของบริษัทในห้างสรรพสินค้าลดลง 10% ในปี 2561 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต และพฤติกรรมของผู้บริโภค ตลอดจนรูปแบบการซื้อสินค้าผ่านช่องทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น

บริษัทได้พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ เช่น ช่องทางออนไลน์และการจำหน่ายผ่านสื่อโทรทัศน์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค บริษัทยังได้ร่วมมือกับเว็บไซต์ลาซาด้า (Lazada) เพื่อสร้างรายได้จากการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ให้เติบโตยิ่งขึ้นอีกด้วย

ในปี 2561 บริษัทมียอดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และผ่านสื่อโทรทัศน์ อยู่ที่ระดับประมาณ 490 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% ของยอดขายรวม ในการนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้จากช่องทางการจัดจำหน่ายดังกล่าวเพิ่มขึ้นให้ได้เป็นประมาณ 10% ของรายได้รวมในปี 2563

เป็นผู้นำในตลาดชุดชั้นในสตรี

บริษัทเป็นผู้นำในตลาดชุดชั้นในสตรีโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าในตลาดระดับกลางถึงระดับบน โดยในปี 2561 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดคิดเป็น 62.1% ของกลุ่มสินค้าชุดชั้นในสตรีที่จัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ชุดชั้นในสตรีที่บริษัทจัดจำหน่ายครอบคลุมหลากหลายตราสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย เช่น Wacoal BSC ELLE และกุลสตรี

Wacoal ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์หลักของผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในที่บริษัทจัดจำหน่ายถือว่าเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย ทั้งนี้ Wacoal มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 56.2% ในปี 2561 เพิ่มขึ้นจาก 56.0% ในปี 2560 และ 55.4% ในปี 2559 ตราสัญลักษณ์ Wacoal เป็นที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานเกือบ 50 ปีในตลาดผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในในประเทศไทยโดยมีตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มลูกค้าสตรีวัยทำงาน

สินค้าประเภทชุดชั้นในสตรีเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างยอดขายสูงที่สุดของบริษัทโดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 33% ของยอดขายรวมในปี 2561 ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสัญลักษณ์ Wacoal สร้างรายได้เกือบ 90% ของยอดขายในแผนกผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในสตรี บริษัทได้พยายามปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์ในแผนกชุดชั้นในสตรีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการแข่งขัน

ยอดขายได้รับแรงกดดันจากการแข่งขัน

ในปี 2561 บริษัทมียอดขายจำนวน 12,350 ล้านบาท ลดลง 0.8% จากปี 2560 และยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 ก็ลดลงอีก 3.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่รุนแรง ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมีส่วนทำให้ยอดขายสินค้าแฟชั่นลดลงในปี 2562 ในขณะเดียวกัน การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์นั้นส่งผลทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแคมเปญส่งเสริมทางการตลาดต่าง ๆ ของคู่แข่งอีกด้วย ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 ลดลง 6.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในสตรีก็ลดลง 2.7% และยอดขายเสื้อผ้าบุรุษลดลง 1.1%

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 2562 จะได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราที่ลดลงและอำนาจซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะกลับมาเติบโตเพียงเล็กน้อยในปี 2563 และปี 2564 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะค่อย ๆ ปรับดีขึ้นในอนาคต ในขณะที่ความพยายามในการสร้างรายได้ของบริษัทจะสำเร็จผลโดยบริษัทจะมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างปี 2563-2564

อัตรากำไรมีความสม่ำเสมอ

แม้ว่ารายได้ของบริษัทในปีก่อนจะลดลง แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก็ปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.06% ในปี 2561 จากระดับ 3.15% ในปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามในการประหยัดต้นทุนของบริษัท รวมไปถึงการมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง และประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36.6% ของยอดขายรวมในปี 2561 จากระดับ 37.6% ในปี 2560 อนึ่ง บริษัทได้ทำการปรับปรุงกระบวนการทำงานและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานสินค้าซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงความพยายามในการบริหารต้นทุนต่อไปอย่างต่อเนื่องและคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรที่สม่ำเสมอในระดับประมาณ 4.0% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

มีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งจากการมีนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง

บริษัทมีนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังเป็นอย่างมากโดยสามารถคงสถานะปลอดภาระหนี้มาได้เป็นเวลานาน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 บริษัทมียอดเงินกู้คงค้างรวมอยู่เพียง 31 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินกู้ของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเท่านั้น

แหล่งเงินทุนของบริษัทมาจากเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 2,330 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 900-1,000 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่ความต้องการใช้เงินทุนหลัก ๆ จะเป็นงบลงทุนปีละ 240-300 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งโดยประเมินว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีข้างหน้า

บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินในระดับที่ดีมากจากการมีเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องสูง ทั้งนี้ บริษัทมีเงินลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 21 แห่งซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 8,940 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2562 และมีมูลค่ามากกว่าเงินกู้รวมคงค้างที่รวมภาระค้ำประกันในบริษัทที่เกี่ยวข้องและบริษัทที่ร่วมลงทุนถึงประมาณ 19 เท่า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

รายได้ของบริษัทจะได้รับแรงกดดันในปี 2562 และจะค่อย ๆ ปรับดีขึ้นเล็กน้อยในระหว่างปี 2563 และปี 2564

กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในระดับประมาณ 4% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

บริษัทจะใช้เงินลงทุนโดยรวมประมาณ 800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์หลัก ๆ เอาไว้ได้ อีกทั้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังและรักษาสถานะสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่งได้ต่อไป

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดขึ้นได้หากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินที่เป็นไปในเชิงรุกมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้เช่นกันหากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงอย่างต่อเนื่องยาวนาน หรือความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างมากและเป็นระยะเวลานาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ