ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ CENTEL ที่ "A" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 8, 2019 17:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ที่ระดับ "A" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารบริการด่วน รวมถึงระดับหนี้สินที่ต่ำแต่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัล อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่มีความผันผวนตามวงจรและมีความเสี่ยงจากผลกระทบซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโรงแรม บริษัทดำเนินธุรกิจโรงแรมภายใต้ตราสินค้าของตนเอง ได้แก่ "เซ็นทารา แกรนด์" "เซ็นทารา" "เซ็นทรา" "โคซี่" "เซ็นทาราบูติกคอลเลกชั่น" และ "เซ็นทารา เรสซิเดนซ์ แอนด์ สวีท" โดยตราสินค้าดังกล่าวโดยเฉพาะ เซ็นทารา แกรนด์ เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในตลาดภายในประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของและที่เช่ามาบริหารรวมทั้งสิ้น 17 แห่ง โดยโรงแรมดังกล่าวตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลางทางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ พัทยา หัวหิน สมุย กระบี่ และภูเก็ต และยังมีโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์อีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังรับจ้างบริหารโรงแรมอีก 22 แห่ง โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนห้องที่บริษัทรับจ้างบริหารค่อนข้างคงที่ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีโรงแรมที่จะรับจ้างบริหารซึ่งอยู่ในแผนการที่จะเปิดบริการในช่วงปี 2562-2565 อีกเป็นจำนวนมาก

โรงแรมของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในประเทศไทย บริษัทจึงมีแผนจะเพิ่มโรงแรมในต่างประเทศให้มากขึ้น เช่น นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศมัลดีฟส์ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจากโรงแรมในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30% ของรายได้ทั้งหมดจากธุรกิจโรงแรมในปี 2566 จากปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่า 20% ของรายได้ทั้งหมดจากธุรกิจโรงแรม

ในปี 2560 บริษัทได้เปิดตัวโรงแรมภายใต้ตราสินค้าใหม่คือโรงแรมโคซี่ซึ่งเน้นราคาประหยัดเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจ่ายน้อยลงและกลุ่มลูกค้าอายุน้อย โดยได้เปิดให้บริการโรงแรมโคซี่แห่งแรกที่เกาะสมุยในช่วงปลายปี 2560 บริษัทยังวางแผนจะเปิดโรงแรมโคซี่เพิ่มมากขึ้นในอีกหลายทำเล เช่น ที่พัทยาในปี 2562 และที่เชียงใหม่ในปี 2564 ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าตราสินค้าโคซี่จะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้แก่โรงแรมของบริษัทมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความสำเร็จของตราสินค้าโคซี่ต่อไปในอนาคต

ในระยะ 5 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนจะขยายธุรกิจโรงแรมเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ธุรกิจนี้ค่อนข้างคงที่ในช่วงปี 2556-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนในธุรกิจโรงแรมรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.80 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2562-2566 โดยจะใช้ไปในการเปิดโรงแรมแห่งใหม่เพิ่มเติมและปรับปรุงโรงแรมเดิม ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนห้องในโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของและเช่ามาดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 6,000 ห้องภายในปี 2566 จาก 4,192 ห้อง ณ เดือนมีนาคม 2562

การชะลอตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนและรัสเซียส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรม ทริสเรทติ้งมองว่าการที่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลักนั้นทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ ทริสเรทติ้งยังมองด้วยว่าการพึ่งพานักท่องเที่ยวชาวเอเชียโดยเฉพาะชาวจีนก็อาจจะกระทบต่อผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมของบริษัทได้ในกรณีที่นักท่องเที่ยวดังกล่าวเปลี่ยนความนิยมไปสู่แหล่งท่องเที่ยวในประเทศอื่น หรือในกรณีที่เศรษฐกิจของประเทศที่นักท่องเที่ยวอาศัยอยู่ซบเซาลง

ในช่วงปี 2559-2561 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ซึ่งทำให้จำนวนนักท่องต่างชาติเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38.3 ล้านคนในปี 2561 อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเพียง 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งหดตัวลง 2% และชาวรัสเซียซึ่งหดตัวลง 1%

บริษัทมีรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (ไม่รวมโรงแรมใหม่) เติบโตเฉลี่ย 2.7% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ผลกระทบจากนักท่องเที่ยวชาวจีนและรัสเซียที่ปรับตัวลดลงได้ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องปรับตัวลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าผลกระทบจากการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีนและรัสเซียเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราวและคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานของโรงแรมให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ โดยเห็นได้จากในอดีตที่ผ่านมาที่บริษัทสามารถรักษาอัตราการเข้าพักในระดับที่สูงเหนือกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมและสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่สูงกว่าคู่แข่งได้

มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจร้านอาหาร บริษัทดำเนินธุรกิจร้านอาหารแบบแฟรนไชส์ภายใต้ตราสินค้า 10 ตราและภายใต้ตราสินค้าที่บริษัทเป็นเจ้าของอีก 3 ตรา ทั้งนี้ ตราสินค้าของร้านอาหารที่บริษัทดำเนินงานนั้นเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี อาทิ "เคเอฟซี" "มิสเตอร์โดนัท" "อานตี้ แอนส์" และ "โอโตยะ" โดย ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีสาขาร้านอาหารทั้งสิ้น 1,003 สาขา การมีสาขาจำนวนมากทั่วประเทศทำให้บริษัทสามารถบริหารค่าใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาบริษัทยังมีการขยายสาขาร้านอาหารอย่างสม่ำเสมอในขณะที่ยังสามารถรักษาระดับของยอดขายต่อสาขาไว้ได้ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายสาขาเฉลี่ยประมาณปีละ 40 แห่ง

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาตราสินค้าร้านอาหารที่เป็นของบริษัทเองได้ โดยร้านอาหารภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองคือ "เดอะ เทอเรส" นั้น ในช่วงที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงและไม่มีการขยายจำนวนสาขาเลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการปรับปรุงร้านเดอะ เทอเรส ให้มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2562 บริษัทยังได้เปิดตัวตราสินค้าของตนเองอีกจำนวน 2 ตรา ได้แก่ ร้านอาหารไทยจานด่วนภายใต้ตราสินค้า "อร่อยดี" และร้านสุกี้ภายใต้ตราสินค้า "สุกี้ เฮ้าส์" ด้วย หากร้านอาหารภายใต้ตราสินค้าของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจก็จะทำให้บริษัทมีการกระจายตัวของฐานรายได้จากหลายตราสินค้าได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดการพึ่งพาตราสินค้าแฟรนไชส์ลงไปอีกด้วย ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามผลของความสำเร็จในการปรับปรุงผลการดำเนินงานร้านเดอะ เทอเรส และความสำเร็จของตราสินค้าใหม่ดังกล่าวต่อไป

แม้ว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจร้านอาหารภายใต้หลาย ๆ ตราสินค้า แต่บริษัทก็ยังคงพึ่งพาตราสินค้าเคเอฟซีอยู่ค่อนข้างมาก โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจอาหารมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากร้านเคเอฟซี ในขณะที่กำไรดังกล่าวของตราสินค้าหลักอื่น ๆ อีก 4 ตรา ได้แก่ มิสเตอร์โดนัท อานตี้ แอนส์ เปปเปอร์ลัช และโอโตยะนั้นรวมกันแล้วคิดเป็นประมาณ 30% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจอาหาร นอกจากนี้ บริษัทยังมีร้านอาหารภายใต้ตราสินค้าอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอีกอย่างเช่น "คัทสึยะ" และ "เทนยะ" อย่างไรก็ตาม ตราสินค้าเหล่านี้ยังมีผลกำไรไม่มากโดยเมื่อรวมกันแล้วคิดเป็นเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจอาหาร ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าเคเอฟซีจะยังคงเป็นตราสินค้าหลักในธุรกิจร้านอาหารของบริษัทในแง่ของสัดส่วนกำไรในช่วงอีกหลายปีข้างหน้าต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการขยายฐานกำไรจากธุรกิจร้านอาหารภายใต้ตราสินค้าที่มากขึ้น

ธุรกิจร้านอาหารเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ทริสเรทติ้งมองว่าการเติบโตของยอดขายในสาขาเดิมของบริษัทมีแนวโน้มอ่อนตัวลงซึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหาร โดยบริษัทมียอดขายในสาขาเดิมหดตัวลงเล็กน้อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในไตรมาสแรกของปี 2562 บริษัทมียอดขายในสาขาเดิมปรับตัวลดลง 3.8% ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมร้านอาหาร บริษัทยังได้เพิ่มรายได้จากธุรกิจอาหารด้วยการขยายจำนวนสาขาร้านอาหารจนทำให้รายได้ในธุรกิจดังกล่าวเติบโต 9.2% เป็น 1.19 หมื่นล้านบาทในปี 2561 และเพิ่มขึ้น 3.4% เป็น 2.87 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2562 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจร้านอาหารจะยังกดดันยอดขายในสาขาเดิมของบริษัทต่อไป แต่ด้วยความที่ตราสินค้าร้านอาหารที่บริษัทดำเนินงานเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีจึงคาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มรายได้จากร้านอาหารได้โดยการเปิดสาขาร้านอาหารเพิ่มเติม โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจร้านอาหารที่เติบโตโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 7% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

คาดว่าระดับหนี้สินจะปรับตัวสูงขึ้น ภายใต้การประมาณการกรณีฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตในช่วงประมาณ 3%-7% ต่อปีในระหว่างปี 2562-2564 จากการขยายสาขาร้านอาหารและการเปิดดำเนินการโรงแรมบางแห่งอีกครั้งในปี 2564 หลังจากที่ปิดปรับปรุงในช่วงปี 2562-2563 บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในช่วง 5.90-6.70 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2562-2564 จากระดับ 5.60-5.90 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

บริษัทมีระดับหนี้สินที่ค่อนข้างต่ำในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากการลงทุนที่ค่อนข้างน้อยในธุรกิจโรงแรมของบริษัทเอง โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 2 เท่าและมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ประมาณ 40% ในช่วงปี 2559-2561

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากบริษัทจะมีการลงทุนจำนวนมากรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.30 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2562-2564 ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ลงทุนในธุรกิจโรงแรม อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 22% ในปี 2564 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวจะปรับตัวดีขึ้นในภายหลังเมื่อโรงแรมที่บริษัทลงทุนใหม่เปิดดำเนินการในปี 2565-2566

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

-รายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 3%-7% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

-อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ประมาณ 27%

-เงินลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 4.90 พันล้านบาทในปี 2562 ที่ระดับ 9.30 พันล้านบาทในปี 2563 และที่ระดับ 8.40 พันล้านบาทในปี 2564

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน อีกทั้งจะรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรที่ดีเอาไว้ได้ต่อไปในระยะหลายปีข้างหน้า โดยที่บริษัทน่าจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 4 เท่าได้ค่อนข้างมากและจะรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับที่มากกว่า 20%

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถขยายและสร้างความหลากหลายให้แก่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้มากยิ่งขึ้นโดยที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่น่าพอใจเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงอย่างมีสาระสำคัญ หรือหากบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีการก่อหนี้จำนวนมาก ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นเกิน 4 เท่า หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่า 20% เป็นระยะเวลานาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ