เซียนหุ้นมอง SET ผันผวนจากโควิดฉุดศก.อ่อนแอแต่ยังมีลุ้น 1,450 จุดช่วงสิ้นปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 24, 2020 18:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ ระบุในงานสัมมนา"ส่องหุ้นไทยฝ่าวิกฤติโควิด" โดยมองตลาดหุ้นยังผันผวนจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุดและมีความเสี่ยงจากการระบาดรอบสอง ขณะที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานแท้จริงที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มอ่อนแอจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัว

แต่ยังมีลุ้นดัชนีกลับขึ้นไประดับ 1,450 จุดในช่วงปลายปีนี้หากสามารถนำวัคซีนออกมาใช้ได้จริง หรือสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง ขณะที่รัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ 2 ผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้ พร้อมแนะลงทุนหุ้นที่มีสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน ,หุ้นที่มีการเติบโตของกำไร รวมถึงหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวน จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังคงไม่สิ้นสุดชัดเจน ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในปีนี้ และกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งตรงข้ามกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมาจากกว่า 900 จุดในช่วงเดือนมี.ค. มาเป็นกว่า 1,400 จุดเมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานอย่างแท้จริง

"การปรับตัวขึ้นของดัชนี SET จาก 900 จุดมา 1,400 จุด เป็นการอัดอั้น Recovery ซึ่งตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐานที่เกิดขึ้น และโควิด-19 ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะหมดสิ้นเมื่อไหร่แน่ ๆ การขึ้นมาแบบอัดอั้นก็ถือว่ายังไม่แข็งแรง ถ้าเจอกับปัจจัยลบเข้ามาอีกก็อาจจะลงหนักไปได้อีก ซึ่งการลงทุนในปีนี้ยังคงต้องระมัดระวัง และมองว่าดัชนีคงมีโอกาสยากที่จะกลับไปแตะ All time high เดิมที่ราว 1,800 จุด ตอนนี้โอกาสที่จะขึ้นไป 1,500 ก็ยังมองว่าเหนื่อย"นายกวี กล่าว

นายกวี มองว่า หากช่วงปลายปีนี้มีความชัดเจนของวัคซีนโควิด-19 ว่าสามารถนำออกมาใช้ได้จริง จะทำให้ตลาดมีแรงหนุนเข้ามา ทำให้ดัชนีมีโอกาสกลับมาปรับขึ้นมาได้ในสิ้นปีที่ระดับ 1,450 จุด แต่ในระหว่างทางมองว่าจะเผชิญความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วงไตรมาส 3/63 มองว่ายังมีโอกาสเผชิญแรงขายได้ หากทั่วโลกไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสอง แต่สำหรับประเทศไทยยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีต่อเนื่องถือว่าตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ

สำหรับคำแนะนำการลงทุน ให้นักลงทุนมองหาหุ้นที่มีโอกาสทำผลการดำเนินงานกลับมาเติบโตได้ดี โดยเฉพาะการเติบโตของกำไรที่สูงขึ้นกว่าเดิม และมีความสามารถในการรองรับภาระหนี้สินได้อย่างดี ได้แก่ CPALL ที่จะมีการควบรวมเทสโก้ โลตัสเข้ามา ทำให้กำไรมีแนวโน้มเติบโตขึ้น และมีกระแสเงินสดที่สูงมาก, ADVANC ที่ยังเป็นหุ้นที่มีปันผลที่ดี และมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

รวมทั้งหุ้น AOT และ BDMS ซึ่งจะได้รับประโยชน์หลังผ่านพ้นภาวะโควิด-19 เพราะการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวและการรักษาพยาบาลของชาวต่างชาติที่ถือว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการจัดการด้านสาธารณสุขดีอันดับต้น ๆ ของโลก และ RATCH ที่มีแนวโน้มทำกำไรในปี 63 New High จากการจ่ายไฟของโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่งเข้ามา และเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลที่ดีราว 4%

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายจากความไม่แน่นอนของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือน ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุน แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่สั้นจากจุดต่ำสุด แต่ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอยู่มาก ทำให้ตลาดเกิดความผันผวน

ขณะเดียวกันมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาและเตรียมออกมาเพิ่มเติมนั้น เริ่มมีความอ่อนแรงลง เพราะยังไม่เห็นความชัดเจนว่าจะสามารถช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถที่จะยืนได้ในระดับ 1,400 จุดอย่างมั่นคง และเผชิญแรงขายออกมากดดัน อย่างไรก็ตามมองว่าหากโควิด-19 คลี่คลายได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และการใช้มาตรการของภาครัฐเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในเฟส 2 สามารถดึงเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นขึ้น มีโอกาสที่ดัชนีจะกลับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,450 จุดได้

คำแนะนำการลงทุนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย (Recession) แนะนำให้เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่คนยังต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มเฮลท์แคร์ กลุ่มสาธารณูปโภค และหากเศรษฐกิจเริ่มเห็นสัญญาณกลับมาฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในช่วงแรกแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มปิโตรเคมี เป็นต้น

ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพของตลาดหุ้นไทยมองว่าเป็นการแกว่งไซด์เวย์ เพราะการเปลี่ยนแปลงของการลงทุนสินทรัพย์ในโลกที่เป็นลักษณะการลงทุนในระยะสั้นมากขึ้น ที่มีการซื้อเมื่อราคาปรับตัวลง และขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้น ทำให้ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก และความไม่แน่นอนของโควิด-19 ทำให้สร้างความไม่มั่นใจในการลงทุน ทำให้การลงทุนเผชิญกับความเสี่ยงค่อนข้างมากในปีนี้

ภาพของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,330-1,427 จุด ซึ่งคำแนะนำการลงทุนจะเน้นไปที่หุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวจากการกลับมาของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลังช่วงโควิด-19 ได้แก่ กลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมีที่แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะขึ้นไปสูงกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันที่กลับมาเพิ่มมากขึ้น หลังคลายล็อกดาวน์ กลุ่มท่องเที่ยว ที่ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวในประเทศที่เริ่มเห็นการเดินทางไปท่องเที่ยวของคนในประเทศมากขึ้น เป็นต้น

ขณะที่นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า การลงทุนในระยะสั้นแนะนักลงทุนดูปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคประกอบกัน โดยให้แนวรับ หรือจุดเข้าซื้อที่ 1,330 จุด และแนวต้าน 1,450 จุด เลือกหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโควิด-19 เช่น การสั่งอาหาร, การใช้อินเทอร์เน็ต, E-commence และการรักษาสุขภาพ เป็นต้น มแนะนำ 5 หุ้นเด่น ได้แก่ ADVANC, BDMS, ITEL, SISB, TACC และหลีกเลี่ยงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่เผชิญกับแรงกดดันของนโยบายจากหน่วยกำกับและการกลับมาฟื้นของเศรษฐกิจที่ยังช้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ