หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ากลับมาเทรดคึกคักในเช้าวันนี้
นำโดยหุ้น TPIPP บวก 7.35% มาที่ 4.38 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.30 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 249.26 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.43 น. ราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 4.26 บาท ราคาปรับขึ้นแตะ 4.46 บาท สูงสุดรอบกว่า 5 เดือนนับจากระดับ 4.56 บาทเมื่อ 24 ก.พ.63 ระหว่างวันราคาหุ้นทำระดับต่ำสุดที่ 4.24 บาท
หุ้น GULF อยู่ที่ 34.25 บาท ปรับขึ้น 1.00 บาท หรือ 3.01%
หุ้น GPSC อยู่ที่ 68.25 บาท ปรับขึ้น 1.25 บาท หรือ 1.87%
หุ้น BGRIM อยู่ที่ 49.00 บาท ปรับขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.03%
หุ้น BCPG อยู่ที่ 15.60 บาท ปรับขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.30%
หุ้น BPP อยู่ที่ 15.30 บาท ปรับขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.32%
หุ้น RATCH อยู่ที่ 59.50 บาท ปรับขึ้น 0.75 บาท หรือ 1.28%
หุ้น EGCO อยู่ที่ 237.00 บาท ปรับขึ้น 3.00 บาท หรือ 1.28%
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) ให้ราคาเหมาะสมสิ้นปี 63 ที่ 5 บาท คาดผลประกอบการไตรมาส 2/63 จะมีกำไรสุทธิ 1,159 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เทียบกับไตรมาส 1/63 เติบโต 20% โดยคาดรายได้อยู่ที่ 2,838 ล้านบาท ขยายตัว 12% จากไตรมาสก่อน และ 10% จากงวดปีก่อน หนุนจากปริมาณขายไฟฟ้าที่สูงขึ้น เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าที่เป็นไปอย่างราบรื่น เทียบกับไตรมาสก่อนที่มีปัญหาจากสายส่งส่วนกลาง นอกจากนี้ คาดอัตรากำไรขั้นต้นทำได้ 46.7% ลดลง 500bps เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน แต่ดีขึ้น 230bps จากไตรมาสก่อน จากประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าที่ดีขึ้น
โดยแนะนำ "ซื้อ"หุ้น TPIPP จากมูลค่าของโรงไฟฟ้าในมือ ณ ปัจจุบันที่น่าสนใจ ด้วย PER ระดับ 7.4x และมีผลตอบแทนจากเงินปันผล 7.4% ต่อปี ซึ่งประเมินบนสมมติที่ระมัดระวัง เพราะอ้างอิง Payout ratio ที่ 50-55% เทียบกับนโยบายปันผลของบริษัทที่ 50% และสถิติตั้งแต่เข้าตลาดปี 60-62 ที่ 73-110% หรือ 0.34-0.40 บาท/หุ้น
นอกจากนี้ ประมาณการและราคาเหมาะสมดังกล่าวยังมี Upside จากการเข้าประมูล หรือเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งมองว่าบริษัทมีเงินทุน และประสบการณ์พร้อมเข้าลงทุนทันทีเมื่อมีโอกาสเข้ามา
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ"Outperform" สำหรับหุ้น บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ให้ราคาเป้าหมายที่ 38.25 บาท โดยคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ GULF ในไตรมาส 2/63 จะอยู่ที่ 1.0 พันล้านบาท (-2.1% YoY, +4.3% QoQ) โดยกำไรเพิ่มขึ้น QoQ จะมาจาก weighting factor ที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้า IPP และต้นทุนก๊าซที่ลดลงของโรงไฟฟ้า SPP (-1.0% QoQ) ในขณะที่ไฟฟ้าที่จ่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็เกินพอที่จะชดเชยปริมาณไฟฟ้าที่จ่ายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม (IU) ในอุตสาหกรรมยานยนตร์ลดลง
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน H1/63 จะคิดเป็น 45.3% ของประมาณการกำไรปีนี้ที่ปรับใหม่ โดยได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปี 63-64 ขึ้นอีก 4.2% และ 30.4% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนก๊าซของ SPP ที่ลดลง และการรวมโครงการพลังงานลม Borkum เข้ามาอยู่ในงบรวมของ GULF (คาดว่าจะรวมงบเต็มปีในปีนี 64)
โดยยังคงคำแนะนำซื้อ GULF และให้ราคาเป้าหมาย DCF 1H64 ที่ 38.25 บาท โดยได้รวมผลจาก dilution ที่เกิดกับ EPS จากการเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว (กำหนดขึ้น XR วันที่ 6 สิงหาคม 2563) ทั้งนี้ คาดว่า GULF จะเข้าร่วมกับ consortium ที่มีบมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เป็นแกนนำในการเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก
อย่างไรก็ตามเคจีไอฯ แนะนำ "Neutral"สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยคาดกำไรจากธุรกิจหลักของกลุ่มใน Q2/63 จะอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท (-18.4% YoY, -7.31% QoQ) โดยกำไรที่ลดลงทั้ง YoY และ QoQ จะเป็นเพราะ 1) ค่าความพร้อมจ่าย (Availability payment หรือ AP) ของบมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH ,บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ลดลง 2) อุปสงค์จากผู้ใช้ไฟในภาคอุตสาหกรรม (IU) ลดลงในช่วงที่มีการใช้มาตรการ lockdown และมีการปิดโรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ชั่วคราว
3) มีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า โดยคาดว่าบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) และบมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) จะเป็นแค่สองบริษัทในกลุ่มที่กำไรดีขึ้น YoY ยังคงให้น้ำหนักกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ Neutral โดยชอบหุ้น SPP (BGRIM, GPSC และ GULF) มากกว่า IPP ทั้งนี้ ชอบ BGRIM เพราะ 1) อัตรากำไรจากการดำเนินงานงานดีขึ้นจากต้นทุนก๊าซที่ลดลงใน H2/63 2) ไม่ได้รับผลกระทบจากการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ลดราคาขายไฟฟ้าให้ IU ลง 3%
ทั้งนี้ มองว่าการทำดีล M&A ภายในประเทศ (SPP) จะเป็นปัจจัยกระตุ้นในระยะสั้นสำหรับหุ้นกลุ่มนี้