นายสมพล เอกธีรจิตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ลีซ อิท (LIT) เปิดเผยว่า บริษัทยังมองว่าแนวโน้มในครึ่งปีหลังคาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อจะปรับตัวดีขึ้น หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายอย่างแท้จริง ย่อมส่งผลทำให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่กลุ่มลูกค้า SMEs จะมีดีมานด์สินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีกับบริษัท เพราะเราเน้นให้บริการสินเชื่อเพื่อคู่ค้าภาครัฐ
ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าออกแพคเกจสินเชื่อใหม่ๆ เพื่อให้มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตและเข้าเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของบริษัท อาทิ สินเชื่อเพื่อธุรกิจเครื่องมือแพทย์ สินเชื่อสำหรับจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์เพื่อการศึกษา สินเชื่อเพื่อธุรกิจผลิตพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนส่ง ตลอดจนสินเชื่อเพื่อธุรกิจซื้อมาขายไป (เทรดดิ้ง) โดยมุ่งเน้นผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับโครงการจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและโรงเรียนของรัฐ ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับช่องทางดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง เพื่อขยายฐานลูกค้า โดยล่าสุดมีสัดส่วนลูกค้าใช้ช่องทางนี้กว่า 36% ของจำนวนลูกค้าใหม่ทั้งหมด
ทั้งนี้บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการกับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ซึ่งบริษัทได้มีการปรับแนวทางการดำเนินการ เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในเชิงรุกทั้งในการแก้ไข ควบคุม และป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งๆขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถควบคุมปริมาณ NPLs ให้อยู่ในวงเงินที่จำกัดได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและจากสถานการณ์โควิด-19
โดยบริษัทมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ดูแลการบริหารจัดการหนี้อย่างใกล้ชิด และได้เพิ่มมาตรการในการคัดกรองและพิจารณาลูกค้าอย่างเข้มงวดเพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมไปถึงการบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อให้มีกระจายพอร์ตสินเชื่อในแต่ละอุตสาหกรรม อีกทั้ง มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นคู่ค้ากับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจโดยมีพอร์ตสินเชื่อโครงการภาครัฐคิดเป็น 70% ของพอร์ตสินเชื่อรวม รวมไปถึง การเร่งตั้งนโยบายตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (Reserve) ในสัดส่วน 15.34% ของพอร์ตลูกหนี้คงค้าง
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/63 บริษัทมีรายได้รวม 98.84 ล้านบาท ลดลง 18.36% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 121.07 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16.16 ล้านบาท ลดลง 55.45% จากงวดไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 36.27 ล้านบาท ขณะที่พอร์ตลูกหนี้สินเชื่ออยู่ที่ 2,551 ล้านบาท และมียอดปล่อยสินเชื่อ 4,020.56 ล้านบาท เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งกดดันภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอตัว และการบริหารจัดการความเสี่ยง ขณะที่รายได้รวมในงวด 6 เดือนแรกของปี 63 อยู่ที่ 202.66 ล้านบาท ยอดปล่อยสินเชื่อรวม 4,020.56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 35.52 ล้านบาท