ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 3 พันลบ.ของ QH ที่ A- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 16, 2021 15:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ชุดปัจจุบันบางส่วน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความหลากหลายของสินค้าและสถานะของบริษัทในตลาดบ้านจัดสรรที่มีความแข็งแกร่งในระดับ ปานกลาง ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจแม้ว่ารายได้จะลดลง ความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนในบริษัทร่วม และระดับภาระหนี้ที่ลดลงในช่วงธุรกิจชะลอตัว นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งน่าจะยังคงกดดันอุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยต่อไปอีกในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความกังวลในเรื่องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยืดเยื้อยาวนาน ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ระดับ 6.72 พันล้านบาทตามการคาดการณ์ล่าสุดของทริสเรทติ้ง โดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมที่อ่อนแอในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจเอาไว้ได้ และแม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวลงจากการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายโครงการคอนโดมิเนียมและความกดดันด้านกำไรจากธุรกิจโรงแรม แต่การควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพก็ช่วยให้บริษัทสามารถคงอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 31%

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ได้ อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจำนวนมากจากการลงทุนในบริษัทร่วมที่บริษัทได้รับยังช่วยรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ที่ระดับ 36.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ได้เช่นกัน เมื่อพิจารณาจากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเกินกว่าระดับ 30% เอาไว้ได้ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ยอดผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อาจชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 โดยทริสเรทติ้งมองว่าผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะยังคงประสบกับความท้าทายต่อไปอีกในระยะสั้นถึงปานกลาง ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจำเป็นต้องปรับปรุงสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาดอยู่เสมอเพื่อให้ยังคงแข่งขันได้ในตลาด

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทวางแผนจะเปิดตัวโครงการแนวราบจำนวน 3 โครงการซึ่งมีมูลค่าประมาณ 5.33 พันล้านบาท ในขณะที่ ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้นจำนวน 78 โครงการโดยจำแนกเป็นโครงการแนวราบ 64 โครงการและคอนโดมิเนียม 14 โครงการ ในขณะที่บริษัทมีมูลค่าโครงการเหลือขายทั้งสิ้น 4.53 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบ 70% และส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมโอน

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะคงภาระหนี้ในระดับปัจจุบันต่อไปอีกในระยะสั้นถึงปานกลาง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ระดับ 40% เนื่องจากบริษัทมีแผนเปิดตัวเฉพาะโครงการแนวราบซึ่งต้องการเงินทุนน้อยกว่าโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง จึงทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ในระหว่างปี 2564-2565 ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดทางการเงินที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่านั้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.6 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้ามูลค่า 6.4 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 4.6 พันล้านบาท ตั๋วแลกเงินจำนวน 1 พันล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวจำนวน 800 ล้านบาท บริษัทมีแผนจะกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้หรือรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่และ/หรือเงินกู้ยืมจากธนาคาร ในขณะเดียวกัน บริษัทจะชำระตั๋วแลกเงินคงเหลือด้วยเงินสดภายใน บริษัทมีแหล่งสภาพคล่อง ณ เดือนธันวาคม 2563 จากเงินสดในมือจำนวน 2.5 พันล้านบาทและวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวนประมาณ 4.21 พันล้านบาท

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 2.38 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินที่ไม่ติดภาระเป็นหลักประกันคิดเป็นมูลค่าทุนอีกประมาณ 2.12 หมื่นล้านบาท อีกทั้งเงินลงทุนจำนวนมากในบริษัทร่วมยังสามารถใช้เป็นแหล่งสภาพคล่องได้อีกแหล่งหนึ่งด้วยในกรณีที่จำเป็น โดยบริษัทถือหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 2 แห่งและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 2 แห่งซึ่งได้แก่ บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) (บริษัทถือหุ้น 19.9%) บมจ. แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) (13.7%) กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ เฮ้าส์ (25.7%) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าควอลิตี้ เฮ้าส์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ (31.3%) โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 เงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 4.15 หมื่นล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ตามระดับเป้าหมาย โดยในช่วงปี 2563-2565 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง 8 พันล้านบาทถึง 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีและบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 50% เอาไว้ได้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2563 และจะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำว่า 6 เท่าในระหว่างปี 2564-2565 รวมทั้งบริษัทจะรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ให้อยู่ในระดับเกินกว่า 30% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่คาดไว้ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่สูงเกินกว่าระดับ 60% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสูงเกินกว่า 6 เท่าเป็นเวลานาน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับเพิ่มผลการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่สถานะทางการเงินของบริษัทไม่อ่อนแอลงจากระดับปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ