โบรกเกอร์ประเมินกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/50 ยังเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจากการลดตั้งสำรอง แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 2 ส่วนใหญ่ลดลงจากสินเชื่อไม่ค่อยขยายตัว แต่คาดว่าในไตรมาส 4/50 จนถึงไตรมาส 1/51 การขยายตัวของสินเชื่อจะดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวหลังมีการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ยังเป็นตัวถ่วงกลุ่มธนาคารอยู่ในปีนี้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากหนี้เสียเกิดใหม่ เห็นว่าแนวโน้มหนี้เสียของระบบเริ่มปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านนมาเป็น 7.8% ณ มิ.ย.50 จาก 7.5% ณ ธ.ค.49 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก็ออกมาระบุปัญหาหนี้ NPL ยังเป็นจุดอ่อนของธนาคารพาณิชย์ไทย และมองว่าความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัตราเงินกองทุนและการกันสำรองยังอยู่ในเกณฑ์ดี TOP Pick เป็น KBANK BBL SCB ประมาณการกำไรสุทธิ Q3/50 ของกลุ่มแบงก์ หน่วย:พันลบ. BBL KBANK KTB SCB BAYโบรกเกอร์ บล.กิมเอ็งฯ 4.55 3.54 1.66 4.51 1.9บล.กสิกรไทย 4.80 - 1.40 4.40 1.9 บล.กรุงศรีอยุธยา 4.94 3.70 2.86 4.67 -บล.เอเซียพลัส 4.44 - 1.08 4.66 -บล.เกียรตินาคิน 4.96 3.66 3.67 4.56 -บล.เคจีไอ 5.0 3.40 2.10 4.40 2.0 บล.เอเซียพลัส ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากกว่าตลาด เพราะเห็นว่าศักยภาพการทำกำไรในครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ตามการขยายตัวของสินเชื่อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และแนวโน้มส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย(NIM) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ธนาคารพาณิชย์ 8 แห่งที่ฝ่ายวิจัยศึกษาคาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/50 เท่ากับ 1.15 หมื่นล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิถึง 1.28 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2/50 เนื่องจากการตั้งสำรองหนี้ที่ลดลงอย่างมีนัยของแบงก์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ ธ.กรุงศรีอยุธยา(BAY)ที่คาดว่าจะไม่กันสำรองหนี้ในงวดนี้ ทั้งนี้ BAY และ ธ.กรุงไทย(KTB) เป็นแบงก์ที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะมีการพลิกฟื้นของกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3 อย่างมีนัยจากงวดที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ ธ.ไทยพาณิชย์(SCB)ที่คาดว่าจะแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิในงวดนี้ ส่วน SCIB, BBL และ KBANK คาดว่าจะมีการลดลงของกำไรสุทธิงวด 3Q50 จากงวดที่ผ่านมา นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่มแบงก์มีปัจจัยพื้นฐานดี และปีหน้าก็มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีด้วย แม้ว่าในไตรมาส 3/50 อาจทรงๆ เพราะสินเชื่อไม่ขยายตัวมาก แต่ในไตรมาส 4/50 กับ ไตรมาส 1/51 น่าจะดี เพราะคาดว่าการส่งออกสูงขึ้นและความมั่นใจการบริโภคกลับมาหลังมีการเลือกตั้ง ประกอบกับการตั้งสำรองก็ได้ดำเนินการมามากแล้ว เพราะฉะนั้นกำไรที่เข้ามาใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องนำไปตั้งสำรองเพิ่มอีก หุ้นแบงก์ที่โดดเด่น ได้แก่ ธ.กสิกรไทย(KBANK) ธ.ไทยพาณิชย์(SCB) และ ธ.กรุงศรีอยุธยา(BAY)ที่มี NIM อยู่ในระดับสูงราว 4% โดย KBANK รุกทำตลาดได้ดี โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ส่วน SCB มีการปรับต้นทุนการบริหารงานที่ดี ขณะที่ BAY ได้พันธมิตรที่แข็งแกร่ง ส่วน ธ.กรุงเทพ(BBL)ไม่ค่อยโดดเด่น จากการปรับตัวช้า ขณะที่ ธ.กรุงไทย(KTB)เด่นในเรื่องฐานสินเชื่อขยายตัวจากภาครัฐ ซึ่งรัฐจะมีโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าเข้ามาในปีหน้า KTB มีโอกาสได้สินเชื่อจากรัฐบาล ส่วนราคาที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา เพราะกลัวหนี้เน่าและถูกโยงเรื่องการเมือง นายภูวดล ยังแนะนำลงทุนหุ้นแบงก์เล็กในปีหน้าที่เพิ่งปรับตัวโตมาจากธุรกิจเงินทุน ได้แก่ ธ.เกียรตินาคิน(KK) ธ.ทิสโก้(TISCO) และบมจ.ทุนธนชาต(TCAP) ทั้ง 3 แห่งจะโดดเด่นเรื่องพอร์ตสินเชื่อและเช่าซื้อและการให้สินเชื่อรายย่อย ซึ่งทำให้บริษัทเติบโตเร็ว ด้านนายพงษ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ให้ความเห็นว่า กลุ่มแบงก์ในไตรมาส 3/50 คาดว่ากำไรสุทธิของธนาคารขนาดใหญ่ยังมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นหากเทียบกับไตรมาส 3/49 เพราะมีส่วนต่างดอกเบี้ยหรือสเปรดในระดับสูง ขณะที่แบงก์ขนาดเล็กผลประกอบการในไตรมาส 3/50 จะทรงตัวจากสเปรดต่ำ และยังมีหนี้ NPL ถ่วง "ภาพรวมจะเห็นว่า บิ๊กแบงก์ยังโต เพราะสเปรดยังสูงอยู่ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยก็ยังเติบโต แบงก์ใหญ่ แสดงศักยภาพได้อยู่แล้ว แต่แบงก์เล็กๆยังทรงๆ จะติดเรื่อง NPL ซึ่งจะเป็นตัวถ่วง และสเปรดก็ยังต่ำเมื่อเทียบกับแบงก์ใหญ่ รวมทั้งการปล่อยกู้สินเชื่อแบงก์ใหญ่ก็คงสู้ไม่ได้"นายพงษ์พันธ์ กล่าว ทั้งนี้ คาดว่าถึงสิ้นปีแม้ภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่แบงก์ขนาดกลางและเล็กจะไม่โตมาก เพราะถูกถ่วงด้วย NPL ก็จะดึงกำไรลงมา และจะเกิดความเสี่ยงทางการเงิน รวมทั้งยังมีเรื่องการตั้งสำรองเป็นปัจจัยหลักด้วย ซึ่งมีฐานเงินต่ำกว่าแบงก์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดี หากภาวะเศรษฐกิจฟื้น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็จะมีโอกาสปล่อยสินเชื่อได้มาก ยังคงแนะนำซื้อ หุ้น ธนาคารขนาดใหญ่ คือ KBANK, SCB, BBL, KTB จากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์หลายแห่ง ผลกำไรสุทธิของธนาคารในไตรมาส 3/50 เติบโตจากไตรมาส 3/49 แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/50 โบรกเกอร์คาดว่ากำไรสุทธิของ KBANK ในไตรมาส 3/50 อยู่ในช่วง 3.40-3.70 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 10.6-20.1% แต่ลดลงจากไตรมาส 2/50 ราว 3.6-10.9% ขณะที่ NPL ในไตรมาส 3/50 จะอยู่ที่ 5.5% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่มี 5.7% พร้อมปรับเพิ่มเป้าการขยายตัวของสินเชื่อในปี 50 เป็น 8.7-9.4% จากที่คาด 8% และคาดว่าปีนี้ NIM จะทรงตัวระดับสูงที่ราว 4% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ได้ให้ราคาเป้าหมาย KBANK ที่ 83-102 บาท และถือเป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มแบงก์ ส่วน BBL คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/50 อยู่ในช่วง 4.44-5.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 14-18.6% แต่ลดลงจากไตรมาส 2/50 ประมาณ 9-16.5% โดยคาดว่าในปี 50 จะปล่อยสินเชื่อได้ต่ากว่า 5% และหนี้ NPL ทั้งปีอยู่ที่ 7-8% ของสินเชื่อรวม รวมทั้งคาดว่า NIM อยู่ทระดับ 3.2% แต่ยังคงแนะนำซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 147-154 บาท สำหรับ KTB โบรกเกอร์ มีความเห็นแตกต่างกัน โดยคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 3/50 ที่ระหว่าง 1.08-3.67 พันล้านบาท และคาดว่าปี 50 NIM จะปรับลดลงมาที่ 3.7% และแนวโน้มจะมีความเสี่ยง NPL เพิ่มขึ้น บล.เกียรตินาคิน คาดกำไรสุทธิ KTB ไตรมาส 3/50 3.67 พันล้านบาท ลดลง 27.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึง 595.3% จากไตรมาส 2/50 เนื่องจากได้รับเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ประมาณ 876 ล้านบาท และมีการตั้งสำรองลดน้อยลง พร้อมคาดว่า KTB จะมี NPL เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/50 อีกเป็น 10.43% จากไตรมาสก่อนที่มีอยู่ 10.17% และ KTB ยังยืนยันที่จะตั้งสำรองในปี 2550 อยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อนที่มีการตั้งสำรอง 1.6 หมื่นล้านบาท จึงแนะให้"ถือ" ขณะที่ บล.กิมเอ็งฯ ประเมินตั้งสำรองไว้ที่ 1.75 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 3/50 ตั้งสำรองจำนวน 5.5 พันล้านบาท และแนะให้เปลี่ยนตัวเล่นไปเป็น BBL, KBANK SCB โบรกเกอร์ ประเมินว่าไตรมาส 3/50 จะมีกำไรสุทธิ 4.4-4.66 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20-26.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและเพิ่ม 5-8.2% จากไตรมาส 2/50 แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานสูงขึ้น แต่ก็มีรายได้พิเศษจากเงินปันผลกองทุนวายุภักษ์ 320 ล้านบาท และจากเงินปันผลจากการลงทุนในพอร์ตของธนาคารราว 100 ล้านบาท และ NIM เพิ่มเป็น 3.7% และทั้งปี 50 จะมี NPL ลดลงเหลือ 6% จากปัจจุบันที่ 7.8%