ทั้งนี้จากกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ ทาง CPALL มีภาระดอกเบี้ยเป็นหนี้ที่เป็น (Float Rate) มาจากของ MAKRO โดยรวมราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็น 32% ของหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยโดยรวม ซึ่งมีต้นทุนทางการเงินราว 3.5%-4% ก็อาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีภายในปี 65 MAKRO มีแผนหาแหล่งที่มาของเงินทุนแหล่งอื่นที่สามารถลดต้นทุนทางการเงิน ขณะเดียวกันก็มองว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นในช่วง เดือน ส.ค. หรือช่วงท้ายของปีนี้ อาจมีผลกระทบจริงในครึ่งปีหลังนี้เท่านั้น จึงคาดว่าจะมีผลกระทบต่อกำไรในปี 65 ไม่มาก เนื่องด้วยบริษัทสามารถบริหารและควบคุมต้นทุนได้
เลือก CPALL เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มค้าปลีก โดยคาดยอดขายจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จากร้านค้าสะดวกซื้อ และธุรกิจ Cash & Carry ของ MAKRO รวมถึง Hypermarket และ Supermarket ของ Lotus หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงมาตรการภาครัฐที่ให้การสนับสนุน การขยายระยะเวลาการเปิด-ปิด ร้านอาหารและสถานบันเทิงเพิ่ม รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ทยอยกลับมา เป็นปัจจัยหนุนต่อยอดขายในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นส่วนช่วยรองรับผลกระทบจากการปรับเพิ่มของเงินเฟ้อได้บางส่วน ขณะที่ผลกระทบจากภาระดอกเบี้ย ทางบริษัทอยู่ระหว่างบริหารจัดการที่คาดจะช่วยรักษา หรือลดระดับต้นทุนทางการเงินจากการหาแหล่งที่มาขอเงินทุนแห่งใหม่ที่มีความเหมาะสมได้
บล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดแนวโน้มไตรมาส 2/65 กำไรจะเติบโตจากปีก่อนได้จากฐานที่ต่ำ และการรวมโลตัสเข้ามาใน Makro และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 มีโอกาสเติบโตได้เช่นกัน จากผลดีของการเปิดเมืองและการที่ Makro มีการคืนเงินกู้ไปบางส่วน แต่อาจจะไม่มากนัก เพราะยังมีค่าใช้จ่ายในการรีแบรนด์โลตัสอยู่ ขณะที่จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้สินค้าหลายรายการมีการปรับราคาขายขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยบวกสำหรับรายได้ของ CPALL ที่จะ ทำให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) เพิ่มขึ้น เห็นได้จากในช่วงไตรมาส 1/65 เงินเฟ้อทำให้ SSSG เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2-3% จากทั้งหมดที่เติบโต 13% ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/65 ก็คาดว่า SSSG ยังคงสูง กว่า 10% ได้อีกไตรมาส
นอกจากนี้ CPALL ยังได้รับผลดีจากมาตรการผ่อนคลายโควิดของภาครัฐโดยเฉพาะการยกเลิกไทยแลนด์ พาส สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมา จึงมองว่าสาขาที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักนอกเหนือจากกรุงเทพ ที่มีกว่า 15% จะมียอดขายที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ด้านการเปิดสาขาใหม่ยังมีอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/65 จะเปิดอีกอย่างน้อย 200 สาขาในประเทศ อีกทั้งด้วยภาพการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวทำให้ผลประกอบการของทาง MAKRO และ โลตัส ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อ CPALL ด้วยอีกทาง
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรไตรมาส 2/65 ทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่ราว 3,500-3,600 ล้านบาท แต่คาด SSSG จะยังเติบโตได้ที่ 10% แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อบ้าง แต่บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกลง แต่เน้นยอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะยังคงทำให้ Spending per ticket เพิ่มขึ้นได้ รวมถึงจากการเปิดประเทศ และการที่โรงเรียนกลับมาเปิดและพนักงานกลับมาเข้าออฟฟิศซึ่งช่วยเพิ่ม SSSG ให้กับบริษัท
แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากการยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่าจะเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวในครึ่งปีหลังราว 4.8 ล้านราย ซึ่งจะเพิ่มยอดขายของ 7-11 ที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ (คิดเป็น 15% ของสาขาทั้งหมด) ประมาณการกำไรปี 65 ที่ 14,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% และในปี 66 ที่ 23,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% กลับเข้ามาสู่ระดับปกติก่อนช่วงโควิด
สำหรับประเด็นเงินเฟ้อ ถือเป็นปัจจัยที่ผู้บริหารยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด โดยผลกระทบหลักๆ จะอยู่ที่ต้นทุนการขายจากปัจจัยทางด้านพลังงานที่มาจากค่าไฟและราคาน้ำมัน ซึ่งมองว่าจะมีผลกระทบไม่มาก ปัจจุบันสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน utilities อยู่ที่ 8.5% (คิดเป็นค่าไฟและค่าน้ำมันประมาณ 5% และ 2% ของ consolidated SG&A ไตรมาส 1/65) ซึ่งการขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลและค่าไฟคาดว่าจะมีผลกระทบต่อ SG&A สิ้นปีประมาณ 1.4%
ขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็ดันยอดขายผลิตภัณฑ์ อิ่มคุ้ม ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงที่ค่าครองชีพสูง แต่ด้วยตัวผลิตภัณฑ์ที่มี margin ต่ำ ทำให้ gross margin ของยอดขายอาหารโดยรวมลดลงเหลือ 26% (26.3% ในไตรมาส 1/64) แม้ว่า Margin อาจจะลดลง แต่ถูกชดเชยด้วย Spending per ticket ที่จะเพิ่มขึ้น