ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร TTA เป็น BBB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 8, 2022 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทเป็นระดับ "BBB+" จาก "BBB" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงงบดุลที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินทุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและการจ่ายเงินปันผลอย่างระมัดระวัง ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้จากภาวะเอื้ออำนวยของอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่ผลการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งก็เริ่มฟื้นกลับมามีกำไรจากมูลค่าสัญญาให้บริการที่แข็งแกร่งและขอบเขตการให้บริการที่เพิ่มมากขึ้น

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงจากความผันผวนและวัฏจักรขึ้นลงของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและการให้บริการนอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท ความพยายามในการขยายไปยังธุรกิจใหม่ ๆ ที่แม้ว่าอาจเป็นประโยชน์กับบริษัทในระยะยาวหากประสบความสำเร็จ แต่ในระยะสั้นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงและเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิต

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองมีผลการดำเนินงานที่ดี ทริสเรทติ้งมองว่าภาวะที่เอื้ออำนวยของภาวะอุปสงค์และอุปทานจะช่วยให้ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า บริษัทได้รับประโยชน์จากค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับที่สูงมากในปี 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ค่าระวางเรือ (Time Charter Equivalent -- TCE) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22,575 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2564 และอยู่ที่ 27,977 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เปรียบเทียบกับระดับ 10,268 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2562 ทริสเรทติ้งมองว่าค่าระวางเรือในระดับที่สูงมากดังกล่าวเป็นภาวะชั่วคราวอันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานไม่เต็มประสิทธิภาพ

ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าระวางเรือจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับที่ดีในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเส้นทางขนส่งสินค้าและทำให้ความต้องการสินค้าแห้งเทกองในหน่วยตัน-ไมล์ของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ถ่านหินและธัญพืชเพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอโดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจเป็นปัจจัยกดดันด้านอุปสงค์ อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของอุปทานเรือในระดับต่ำทั้งจากจำนวนการสั่งต่อเรือใหม่ที่อยู่ในระดับต่ำรวมถึงกฎเกณฑ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นจะยังเป็นปัจจัยที่ช่วยรักษาสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน

สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 21,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2565 และจะลดลงมาอยู่ที่ระหว่าง 12,000-14,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงปี 2566-2567 ในขณะที่คาดว่าบริษัทจะยังคงบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยคาดว่าค่าใช้จ่ายในการเดินเรือโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5,900-6,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงปี 2565-2567 รายได้จากธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และจะอยู่ที่ 9.5 พันล้านบาทถึง 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ของบริษัทนั้นจะอยู่ที่ระดับ 38% ในปี 2565 และจะอยู่ที่ระดับ 17%-21% ในช่วงปี 2566-2567

  • ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งเริ่มฟื้นตัว ผลการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และมี EBITDA เป็นบวกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561 ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทดำเนินงานโดย บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 58.2% บริษัทได้ขยายการให้บริการที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่เน้นงานให้บริการสำรวจ ซ่อมแซม และบำรุงรักษาใต้ทะเล (Inspection, Repair, and Maintenance -- IRM) ในภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นหลัก ขยายไปยังงาน IRM ในตะวันออกกลาง แอฟริกาตะวันตก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานวางสายเคเบิ้ลในตะวันออกกลาง และงานขนส่งและติดตั้ง (Transportation & Installation--T&I) และงานรื้อถอน (Decommissioning) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทะเลเหนือ (North Sea) ซึ่งขนาดของบริการที่ใหญ่ขึ้น จะช่วยทำให้บริษัทสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดีขึ้น

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบสูงสุดในรอบ 7 ปี อยู่ที่จำนวน 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจัยหลักเป็นผลมาจากการได้ต่ออายุสัญญา 3 ปีในการให้บริการ IRM กับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ 75% ของมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบมาจากงาน IRM 18% มาจากงานวางสายเคเบิ้ลใต้ทะเล และอีก 7% มาจากงานขนส่งและติดตั้งและงานรื้อถอน โดยจะรับรู้และเป็นฐานรายได้ให้แก่บริษัทที่จำนวน 117 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จำนวน 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 และจำนวน 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2567-2568

สมมติฐานของทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทจะอยู่ที่ 190-210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2565-2567 EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 2%-5% ในช่วงที่คาดการณ์ โดยสมมติฐานดังกล่าวได้พิจารณาถึงมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ และการคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจที่มีการขยายขอบเขตการให้บริการออกไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีอัตราการใช้งานของเรือในระดับที่สูงขึ้นและการจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันและแก๊สที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อการต่อรองราคาและงบประมาณจากลูกค้ารายใหญ่ ๆ อีกด้วย

  • ธุรกิจหลักมีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทมาจากการที่ธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภทคือธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งนั้นมีความผันผวนและเป็นวงจรขึ้นลง ทั้งนี้ ธุรกิจดังกล่าวมีสัดส่วน EBITDA โดยเฉลี่ยให้แก่บริษัทรวมกันกว่า 80% ของกำไรดังกล่าวทั้งหมด อุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองมีผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากและมีการแข่งขันสูงซึ่งเป็นปัจจัยนำไปสู่สถานการณ์ที่มีอุปทานส่วนเกินบ่อยครั้งและส่งผลกดดันต่อค่าระวางเรือในอดีต สำหรับธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งนั้น อุปสงค์ที่มีต่อบริการของบริษัทขึ้นอยู่กับระดับและทิศทางของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าซึ่งส่งผลทำให้ความสามารถในการต่อรองของบริษัทในเรื่องการทำสัญญาให้บริการมีข้อจำกัดอีกด้วย โดยที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของบริษัทขึ้นอยู่กับการต่ออายุสัญญาจ้างของลูกค้าเพียงไม่กี่รายซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทในภูมิภาคตะวันออกกลาง
  • รายได้จากธุรกิจอื่น ๆ ยังมีขนาดเล็ก บริษัทยังมีความพยายามที่จะเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจเพื่อที่จะช่วยลดความผันผวนจากธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภทอีกด้วย โดยบริษัทได้ลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีความผันผวนน้อยกว่า เช่น ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริหารจัดการน้ำ และธุรกิจโลจิสติกส์ แม้ว่าธุรกิจปุ๋ยเคมีทางการเกษตรจะสร้างกระแสเงินสดที่ดีอย่างต่อเนื่องและธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มก็เป็นไปด้วยดี แต่ธุรกิจอื่น ๆ ก็ยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัทมากนัก

ในระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรอยู่ที่ 3-3.5 พันล้านบาทต่อปี และมี EBITDA Margin อยู่ที่ระดับ 5%-7% โดยทริสเรทติ้งมองว่าต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นจะเป็นภาวะชั่วคราวและชดเชยได้บางส่วนจากราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ธุรกิจอาหาร รายได้หลักมาจากธุรกิจร้านพิซซ่า ฮัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีจำนวนร้าน 184 ร้าน โดยบริษัทมีแผนขยายสาขา 20-25 สาขาต่อปีในระหว่างปี 2565-2567 จำนวนร้านที่มากขึ้นทำให้บริษัทเริ่มได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากพิซซ่า ฮัท 2-2.5 พันล้านบาทต่อปี และมี EBITDA Margin อยู่ที่ระดับ 8%-10%

บริษัทยังมีแผนจะขยายไปยังธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสายการบิน โดยในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทได้ลงทุนผ่านบริษัทร่วมทุนที่บริษัทมีสัดส่วนประมาณ 60% เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในเขตเศรษฐกิจของกรุงเทพ โดยมีมูลค่าโครงการรวม 8 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะก่อสร้างในปี 2566-2569 สำหรับธุรกิจสายการบิน บริษัทย่อยของบริษัทคือ บริษัท พี 80 แอร์ จำกัด (P80 Air) จะให้บริการสายการบินแบบเช่าเหมาแบบประจำ โดยใช้เครื่องบินที่บริษัทเช่ามาให้บริการ จากสถานะของบริษัทที่เป็น Holding Company และมีเงินสดในมือจำนวนมาก บริษัทอาจมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่บริษัทอาจไม่มีประสบการณ์มาก่อน ซึ่งแม้ว่าธุรกิจใหม่เหล่านี้หากประสบความสำเร็จก็จะส่งเสริมความพยายามในการเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจในระยะยาว แต่ก็มีความไม่แน่นอนและเป็นความเสี่ยงในระยะอันใกล้

  • คาดหวังให้งบดุลและกระแสเงินสดอยู่ในระดับแข็งแกร่งต่อไปในระยะใกล้ การที่บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีเงินสดในมือจำนวนมากเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนอันดับเครดิตของบริษัท ประกอบกับการคาดการณ์ว่าผลประกอบการของธุรกิจหลักทั้ง 2 ธุรกิจจะดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีระดับความต้านทานต่อความผันผวนของผลการดำเนินงานและโอกาสในการลงทุนในระดับที่ยอมรับได้

สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะมีรายได้รวม 2.3-2.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 โดยที่บริษัทจะมี EBITDA Margin ในระดับสูงที่ 19% ในปี 2565 จากผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ก่อนที่จะลดลงมาสู่ระดับปกติที่ 11%-13% ในปี 2566-2567 โดยมี EBITDA ที่ประมาณ 5 พันล้านบาทในปี 2565 และ 2.5-3.2 พันล้านบาทต่อปีในปี 2566-2567 และจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 1.5-2 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2567

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทพิจารณาโอกาสการลงทุน การบริหารจัดการเงินสดที่ถืออยู่ รวมทั้งการจ่ายเงินปันผลในอนาคตอย่างรอบด้านเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของสถานะการเงินของบริษัทและเพื่อรองรับกับภาวะการดำเนินงานที่ไม่เอื้ออำนวยในธุรกิจหลักทั้ง 2 ธุรกิจ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังให้บริษัทเตรียมงบดุลและสำรองเงินสดบางส่วนไว้เพื่อการลงทุนในเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองรอบใหม่ ซึ่งอาจต้องเริ่มใช้เงินลงทุนจำนวนมากในอีก 3-5 ปีข้างหน้า หลังจากที่ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมมีความชัดเจนขึ้นและเทคโนโลยีใหม่เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ "BBB+" ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากแผนการลงทุนในอนาคตของบริษัทและระดับ EBITDA ปกติ

ข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของตราสารหนี้ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ

  • สภาพคล่องที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ แหล่งสภาพคล่องหลักของบริษัทมาจากเงินสดในมือจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 2.5-3 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระประมาณ 3 พันล้านบาทและมีแผนการลงทุนที่ประมาณ 2-2.5 พันล้านบาท
  • ความเสี่ยงจากการด้อยสิทธิของหุ้นกู้มีอย่างจำกัด ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ "BBB+" ในปัจจุบัน ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้ทั้งสิ้นจำนวน 8.9 พันล้านบาทโดยเป็นหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนจำนวน 4.7 พันล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีการค้ำประกันของบริษัทลูก บริษัทจึงมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 53% ซึ่งเกินระดับเพดานที่ 50% อย่างไรก็ดี การที่บริษัทมีภาระหนี้อยู่ในระดับต่ำทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าเจ้าหนี้หุ้นกู้ของบริษัทไม่ได้มีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์สูงกว่า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ 21,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2565 และจะลดลงมาอยู่ระหว่าง 12,000-14,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในระหว่างปี 2566-2567
  • ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งจะมีรายได้รวม 190-210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2565-2567
  • รายได้จะอยู่ที่ระดับ 2.3-2.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
  • EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 19% ในปี 2565 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 11%-13% ในระหว่างปี 2566-2567
  • เงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะดำรงความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่ประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญไม่ว่าจะเกิดจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องยาวนานหรือจากการลงทุนจำนวนมาก โอกาสในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นมีจำกัดในระยะสั้น แต่อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจและแหล่งรายได้มีความหลากหลายมากขึ้น จนทำให้ฐานรายได้ของบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นและผันผวนลดลงในขณะที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของงบดุลไว้ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ