PREB ใส่เกียร์บุกธุรกิจอสังหาฯเต็มสูบเสริมพอร์ตอัพมาร์จิ้น-ดันบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 15, 2019 13:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บมจ.พรีบิลท์ (PREB) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่มีเป้าหมายสร้างการเติบโตผลประกอบการในระยะยาว ด้วยการจัดตั้ง 2 บริษัทย่อย ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เป็นการต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างประเภทพรีคาสท์ (Precast)

สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ดำเนินการภายใต้ บริษัท พรีบิลท์ โฮลดิ้ง จำกัด จะเป็นการพัฒนาโครงการลักษณะร่วมทุนกับพันธมิตรผู้พัฒนาอสังหาฯรายอื่นทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุด อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการคอนโด Low Rise มูลค่า 1,500 ล้านบาท มียอดขายแล้วเกือบ 90% คาดจะพร้อมโอนรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/62,โครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น เป็นโครงการคอนโด Low Rise และร่วมทุนกับ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) เป็นโครงการคอนโด High Rise ทำเลติดกับสถานีรถไฟฟ้า

พร้อมกันนั้น บริษัทยังได้จัดตั้งบริษัท อีส แอม อาร์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมเป็นโครงการที่บริษัทลงทุนและพัฒนาเอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ 3 โครงการ ประกอบด้วย คอนโดประเภท Low Rise มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท, คอนโดประเภท High Rise มูลค่า 2,500 ล้านบาท และโครงการแนวราบบ้านเดี่ยวมูลค่า 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากผลการดำเนินงานของทั้ง 2 บริษัทเติบโตแข็งแกร่ง มีแนวคิดจะผลักดันบริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต่อไป

นายวิโรจน์ มองว่า ธุรกิจอสังหาฯเป็นโอกาสของ PREB ในการสร้างการเติบโตในอนาคต เพราะในช่วงที่ตลาดอสังหาฯยังชะลอตัวเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถซื้อที่ดินเก็บไว้ในราคาถูกลง โดยเตรียมกระแสเงินสดไว้ลงทุนซื้อที่ดินไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และดำเนินการควบคู่ไปกับพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มที่ในช่วงที่ภาวะต่างๆ ฟื้นตัว เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของกำลังซื้อในตลาดอสังหาฯช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 63

"แม้ว่าปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อจากการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ LTV จากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่มาตรการ LTV เริ่มมีผลบังคับใช้นั้น เริ่มเห็นการชะลอตัวขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่เห็นการฟื้นตัวกลับมาที่ดี ส่งผลต่อความมั่นใจและการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงไปในช่วงนี้ แต่นับเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทที่เพิ่งเริ่มขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ทำให้ได้ราคาที่ดินเหมาะสม"นายวิโรจน์ กล่าว

สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซื้อเพื่ออยู่จริง หรือ Real Demand เป้นหลัก เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงในระดับหนึ่งทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดีและมีศักยภาพ เช่น โครงการคอนโดมิเนียมจะอยู่ในทำเลใจกลางเมืองหรือ CBD ที่สามารถเดินทางสะดวกและใกล้รถไฟฟ้า และโครงการแนวราบจะอยู่ในทำเลปริมณฑลที่ใกล้กรุงเทพฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายตั้งแต่ 150,000-200,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป

นอกจากนี้ บริษัทยังเล็งเห็นถึงการขยายกลุ่มฐานลูกค้าชาวต่างชาติที่ยังมีความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่จะเข้ามาทดแทนลูกค้าชาวจีนที่เริ่มชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยในไทยไปในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามาทดแทนกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่หายไปนั้น คือ กลุ่มลูกค้าชาวฮ่องกงและไต้หวัน ที่ปัจจุบันเริ่มกลับเข้ามามองหาซื้อที่อยู่อาศัยในไทยมากขึ้น หลังจากมีปัญหาการเมืองในประเทศ โดยปกติแล้วชาวฮ่องกงและไต้หวัน จะมองหาที่อยู่อาศัยในเมืองที่มีราคาสูง ขณะที่ราคาขายในไทยยังถูกกว่าในฮ่องกงและไต้หวันอย่างมาก

ส่วนธุรกิจหลักรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ปัจจุบันมีปริมาณงานในมือ (backlog) มูลค่า 8,000 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังประมาณ 2,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลงานใหม่มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท คาดชนะงานประมูล 50% หรือ 2,500 ล้านบาท เพื่อเข้ามาเสริมฐานรายได้ต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังมองโอกาสรับงานก่อสร้างประเภทอาคารในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เชื่อว่าในระยะถัดไปจะมีปริมาณงานก่อสร้างออกมาอีกเป็นจำนวนมาก

"ปริมาณงานในมือส่วนใหญ่เป็นงานเอกชน โดยรายได้กว่า 70% เป็นกลุ่มลูกค้าเดิม ซึ่งค่อนข้างมีความมั่นคงด้านกระแสเงินสดที่ได้รับมาต่อเนื่องในทุก ๆ ปี แม้ว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะเติบโตไม่หวือหวาราว ๆ 10% ต่อปี แต่ก็ทำให้บริษัทมีเงินทุนไปต่อยอดในธุรกิจอสังหาฯที่มีศักยภาพทำกำไรที่สูงกว่า"นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ ทิ้งท้ายว่า ตามแผนการขยายกิจการในช่วง 3 ปีข้างหน้า คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี แต่ถ้ากำลังซื้อและภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ดี บริษัทก็มีศักยภาพสามารถเติบโตเฉลี่ยถึง 30% ต่อปีได้เช่นกัน

https://youtu.be/c0m1QeUBqRU


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ