สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) หลังจากที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ขณะที่การปิดลบของตลาดหุ้นนิวยอร์กได้สร้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 69 เซนต์ ปิดที่ 80.50 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 79.55-81.78 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 59 เซนต์ ปิดที่ 78.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่ซื้อขายกันในตลาด ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเงินดอลลาร์ดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน ซึ่งทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับแรงกดดันเพราะทั่วโลกต้องซื้อขายสินค้าดังกล่าวในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ การปิดร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันให้ปรับตัวลดลงตามไปด้วย
ทิม อีวานส์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Citi Futures Perspective ในนิวยอร์กกล่าวว่า "การที่เงินดอลลาร์แข็งค่า ขณะที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงนั้นล้วนส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันปรับตัวลง นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังเคลื่อนไหวภายใต้ปัจจัยลบอื่นๆ รวมถึงรายงานตัวเลขจีดีพีของอังกฤษที่สร้างความผิดหวังในกับตลาดอีกทั้งยังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญกับภาวะถดถอยต่อไป"
โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษรายงานว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 หดตัวลง 0.4% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 0.2% และทำสถิติหดตัวติดต่อกัน 6 ไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เริ่มมีการเก็บข้อมูลในปีพ.ศ.2498
ทั้งนี้ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ที่หดตัวสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้นกำลังสร้างแรงกดดันให้กับนายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อยู่ในระหว่างการรณค์หาเสียงเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าจีดีพีที่หดตัวอย่างต่อเนื่องของอังกฤษอาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษขยายระยะเวลาการซื้อพันธบัตรออกไปอีก รวมถึงการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% จนกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มมีเสถียรภาพ