ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพฤหัสบดี (29 พ.ค.) โดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานข่าวที่ว่าศาลสหรัฐฯ สั่งระงับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,716.45 จุด ลดลง 9.56 จุด หรือ -0.11%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าและโลหะอุตสาหกรรมขยับขึ้นเกือบ 1% ตามทิศทางราคาทองคำและโลหะในตลาดลอนดอนที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของพันธบัตร ร่วงลงหนักที่สุดในดัชนี FTSE 100 โดยลดลง 2.1%
หุ้นเนชันแนล กริด (National Grid) ดิ่งลง 3.8% และหุ้นเซเวิร์น เทรนต์ (Severn Trent) ลดลง 2.3% หลังทั้งสองบริษัทซื้อขายในสถานะไม่มีสิทธิ์รับเงินปันผล (XD)
ส่วนหุ้นออโตเทรดเดอร์ (Auto Trader) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขายรถยนต์ออนไลน์ชื่อดัง ร่วงลงแรงถึง 11.3% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน หลังรายได้ทั้งปีออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
เมื่อวันพุธ (28 พ.ค.) ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ วินิจฉัยว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการกำหนดภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ตาม เควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯ กำลังจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญถึงสามฉบับ และยังคาดว่าจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติม แม้มีคำตัดสินจากศาลการค้าก็ตาม
รัฐบาลอังกฤษประกาศเป้าหมายผลักดันให้กองทุนบำเหน็จบำนาญในประเทศหลายแห่งควบรวมกันเป็น "เมกะฟันด์" ที่มีมูลค่าสินทรัพย์อย่างน้อย 2.5 พันล้านปอนด์ (ราว 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2573 เพื่อเร่งกระตุ้นการลงทุนเข้าสู่เศรษฐกิจ ขณะเดียวกันทางการยังยืนยันว่าจะใช้มาตรการบังคับให้บริษัทจัดการลงทุนจัดสรรเงินเข้าสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดยังเผยให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภาคบริการของอังกฤษร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบสองปีครึ่งในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. โดยหนึ่งในสาเหตุหลักคือแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีด้านการจ้างงาน