ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหุ้นยุโรปอื่น ๆ จากแรงหนุนของหุ้นกลุ่มพลังงานและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน บางแห่ง แม้ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดจำกัดแรงซื้อก็ตาม
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,884.92 จุด เพิ่มขึ้น 20.57 จุด หรือ +0.23%
หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทำผลงานดีที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.4% ขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์ปรับตัวขึ้น 1.2%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าพุ่งขึ้น 3.2% ตามราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนทั่วโลก
บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกยังคงระมัดระวัง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าสหรัฐฯ ได้เคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากตะวันออกกลาง เพราะสถานการณ์อาจอันตราย พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
ประเด็นความไม่แน่นอนด้านการค้ายังคงเป็นจุดสนใจหลักของตลาด โดยจีนยืนยันข้อตกลงการค้าฉบับล่าสุดที่ทรัมป์ประกาศ ซึ่งถือเป็นการพักรบชั่วคราวในการทำสงครามการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
ในบรรดาหุ้นรายตัว หุ้นเทสโก้ (Tesco) เพิ่มขึ้น 1.6% หลังจากผู้ค้าปลีกอาหารรายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักรรายงานยอดขายพื้นฐานในไตรมาสแรกดีกว่าคาด และสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งได้
หุ้นฮัลมา (Halma) บริษัทผลิตอุปกรณ์ด้านสุขภาพและความปลอดภัย พุ่งขึ้น 3.3% หลังคาดการณ์ว่ารายได้ในปีงบการเงิน 2569 จะเติบโตมากขึ้น และกำไรทั้งปีที่ผ่านมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น เศรษฐกิจอังกฤษชะลอลงอย่างมากในเดือนเม.ย. ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบจากภาษีของทรัมป์ และผลกระทบชั่วคราวจากการสิ้นสุดมาตรการลดหย่อนภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์