ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันจันทร์ (14 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างระมัดระวัง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งล่าสุด ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,459.65 จุด เพิ่มขึ้น 88.14 จุด หรือ +0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,268.56 จุด เพิ่มขึ้น 8.81 จุด หรือ +0.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,640.33 จุด เพิ่มขึ้น 54.80 จุด หรือ +0.27%
ปธน.ทรัมป์ได้ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก ในอัตรา 30% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยขณะนี้ถือเป็นการนับถอยหลังสำหรับการทำข้อตกลงการค้าในนาทีสุดท้าย
ด้าน EU ได้ขยายเวลาการระงับมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ออกไปจนถึงต้นเดือนส.ค. โดยยังคงคาดหวังว่าจะมีการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทการค้า ขณะที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า การเจรจากับ EU แคนาดา และเม็กซิโก ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้
นักวิเคราะห์มองว่า แม้จะมีข่าวการเรียกเก็บภาษีศุลกากรออกมาเป็นระลอก แต่นักลงทุนมีปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยต่อข่าวดังกล่าว เนื่องจากเริ่มปรับตัวกับการที่ทรัมป์เรียกเก็บขึ้นภาษีและมักจะกลับลำในนาทีสุดท้าย
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินผลกระทบของมาตรการต่าง ๆ ของปธน.ทรัมป์ที่จะมีต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยข้อมูลดังกล่าวรวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย., ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ประจำเดือนมิ.ย.ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ จะปรับตัวขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.4% ในเดือนพ.ค. และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนพ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูรายงานผลประกอบการของบริษัทจะทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน (JPMorgan), เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson)
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้น 0.73% และ 0.67% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1.2% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงกว่า 2%
หุ้นวอร์เนอร์ บราเธอส์ ดิสคัฟเวอรี (Warner Bros. Discovery) พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากภาพยนตร์เรื่อง Superman กวาดรายได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงสุดสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย
หุ้นบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีปรับตัวขึ้น หลังจากราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 120,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก โดยหุ้นคอยน์เบส โกลบอล (Coinbase Global) พุ่งขึ้น 1.8% และหุ้นไมโครสตราเทจี (Microstrategy) ทะยานขึ้น 3.8%