ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 700 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานทรุดตัวลงอย่างหนัก
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีศุลกากรใหม่ต่อประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ณ เวลา 21.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 43,383.50 จุด ลบ 747.48 จุด หรือ 1.69%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 106,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.1% ในเดือนมิ.ย.
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนมิ.ย.เป็นเพิ่มขึ้นเพียง 14,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้นมากถึง 147,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ค.เป็นเพิ่มขึ้นเพียง 19,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้นมากถึง 125,000 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 83,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ขณะที่ภาครัฐมีการจ้างงานลดลง 10,000 ตำแหน่ง
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด อยู่ที่ระดับ 62.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2565
ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าฉบับปรับปรุงใหม่ในระดับตั้งแต่ 10%-41% ต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก และสินค้าที่มีการขนส่งจากประเทศที่สาม หรือสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์ (transshipped) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเหล่านี้ จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 40%
นายอะทาคาน บาคิสคาน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแบเรนเบิร์ก กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงล่าสุดในนโยบายภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์ ยังไม่ใช่ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด เนื่องจากก่อนหน้านี้ปธน.ทรัมป์เคยขู่ที่จะขึ้นอัตราภาษีพื้นฐานเป็น 2 เท่าจากปัจจุบันที่ระดับ 10%
นายบาคิสคานกล่าวว่า ภาษีชุดใหม่ของปธน.ทรัมป์จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างประเทศ และสหรัฐเองก็จะได้รับความเสียหายจากภาษีเหล่านี้ จากการที่เงินเฟ้อภายในประเทศดีดตัวขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง
นอกจากนี้ นายบาคิสคานระบุว่า ภาษีเหล่านี้ได้บิดเบือนการแข่งขันระหว่างบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐเพื่อจำหน่ายในตลาดภายในประเทศ และบริษัทที่ผลิตสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทจากยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้มักแข่งขันกันเองมากกว่าที่จะแข่งขันกับผู้ผลิตในสหรัฐ