ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับความหวังการหยุดยิงในยูเครน

ข่าวต่างประเทศ Friday August 8, 2025 06:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นรายวันมากที่สุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงิน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่หลากหลาย, มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่จะมีความคืบหน้าในการยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน

ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.05 จุด เพิ่มขึ้น 4.98 จุด หรือ +0.92%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,709.32 จุด เพิ่มขึ้น 74.29 จุด หรือ +0.97%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,192.50 จุด เพิ่มขึ้น 268.14 จุด หรือ +1.12% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,100.77 จุด ลดลง 63.54 จุด หรือ -0.69%

ดัชนี STOXX 600 แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 2% แตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2553 ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มประกันภัยเพิ่มขึ้น 1.6% ทำนิวไฮ

หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมองหาหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำจากความไม่แน่นอนด้านการค้า

มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดี โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้า 39% ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก

หุ้นสวิสปรับตัวขึ้น 0.8% โดยหุ้นกลุ่มยาอย่าง Roche และ Novartis ต่างปรับตัวขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจยายังไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม

บรรยากาศการลงทุนสดใสขึ้นจากข่าวที่ทางเครมลินเปิดเผยว่า วลาดิเมียร์ ปูติน และโดนัลด์ ทรัมป์ จะพบปะกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้เกิดความหวังต่อการหยุดยิงในยูเครน

ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมกลาโหมร่วงลง 2.3% โดย Rheinmetall ของเยอรมนีร่วง 8% หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ต่ำกว่าคาด อันเนื่องมาจากความล่าช้าในการอนุมัติสัญญาจัดซื้อจากรัฐบาลเยอรมนี

นักวิเคราะห์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า ข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนน่าจะส่งผลบวกต่อผู้บริโภคในยุโรปและบรรยากาศการลงทุน ขณะเดียวกันอาจกดดันราคาน้ำมัน โดยกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์คือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มที่อิงการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง โดยผลดีส่วนหนึ่งจะสะท้อนไปยังเศรษฐกิจยุโรปตะวันออก เนื่องจากการฟื้นฟูหลังสงครามน่าจะไหลผ่านภูมิภาคนั้น

หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกพุ่งขึ้นจากความโล่งใจที่บริษัทที่ดำเนินการผลิตในสหรัฐฯ อย่าง Apple จะไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 1.7% ขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปอย่าง BE Semiconductor, ASML Holding และ SAP ต่างปรับขึ้นในช่วง 2.4% ถึง 4.5%

หุ้นบริษัทผู้ผลิตยาในเดนมาร์กอย่าง Novo Nordisk และ Zealand Pharma พุ่งขึ้น 6.7% และ 4.7% ตามลำดับ หลังข้อมูลเกี่ยวกับยาลดน้ำหนักของคู่แข่งในสหรัฐฯ อย่าง Eli Lilly ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

หุ้น Allianz พุ่งขึ้น 4.1% หลังบริษัทด้านบริการทางการเงินรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2 ดีกว่าคาด ส่วนหุ้นธนาคาร KBC ของเบลเยียมพุ่ง 6.3% ทะลุระดับก่อนเกิดวิกฤตการเงิน หลังปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้รวมประจำปี

หุ้น Raiffeisen Bank International พุ่งขึ้น 13.9% หลังศาลรัสเซียยกเลิกคำสั่งอายัดหุ้นชั่วคราวของบริษัทย่อยในรัสเซีย

กลุ่มโทรคมนาคมเผชิญแรงกดดัน โดยหุ้น Freenet AG และ DT Telekom ร่วงลง 5.4% และ 5% ตามลำดับ หลังรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด

บริษัทในดัชนี STOXX 600 ที่รายงานผลประกอบการจนถึงวันอังคารจำนวน 198 แห่ง มี 53% ที่ผลประกอบการสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยรายไตรมาสที่ 54%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ