ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 12.11 จุด จากแรงขายทำกำไร

ข่าวต่างประเทศ Tuesday October 7, 2025 06:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันจันทร์ (6 ต.ค.) หลังนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อทำกำไรหลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อน และมีแรงเทขายหุ้นบริษัทบรรจุภัณฑ์ Mondi ซึ่งร่วงลงอย่างหนัก หลังเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าคาด

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,479.14 จุด ลดลง 12.11 จุด หรือ -0.13%

ดัชนี FTSE 100 ขยับขึ้นเหนือระดับ 9,500 จุดได้เป็นครั้งแรกในช่วงเช้า ซึ่งเป็นการทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ก่อนจะปรับตัวลงมาปิดตลาดในแดนลบ

หุ้น Mondi ร่วงหนักถึง 16% สู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปี หลังบริษัทเปิดเผยว่า กำไรหลักในไตรมาส 3 ชะลอตัวจากความต้องการและราคาสินค้าที่ลดลง

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในอังกฤษและสหภาพยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากข่าวการลาออกกะทันหันของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส เซบาสเตียน เลอกอร์นู และคณะรัฐบาล เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำให้รัฐบาลชุดนี้กลายเป็นรัฐบาลที่มีอายุสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศสยุคใหม่

หุ้นกลุ่มธนาคารของอังกฤษร่วงลง 0.5% โดยนักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่า การลาออกของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองและการคลังทั้งในยุโรปและสหราชอาณาจักร ซึ่งความไม่แน่นอนลักษณะนี้มักสะท้อนออกมาในราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร

ในอีกด้านหนึ่ง ธนาคารซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ได้ปรับลดคำแนะนำการลงทุนในหุ้นอังกฤษจาก Overweight เป็น Underweight โดยให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นอังกฤษมีสัดส่วนหุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นและสาธารณูปโภค ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มวัฏจักรและหุ้นเติบโต

ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 2% หลังราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือ 3,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานขยับขึ้น 1.5% ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น

ด้านหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญของตลาดในสัปดาห์ก่อน ปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง โดยนักลงทุนกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง หลังดีลระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ในการลดราคายาในโครงการเมดิเคด ช่วยลดความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรมนี้

ส่วนหุ้น Aston Martin ดิ่งลง 10.1% หลังผู้ผลิตรถยนต์หรูรายนี้เตือนถึงผลขาดทุนประจำปีที่อาจรุนแรงขึ้น จากความต้องการในตลาดอเมริกาเหนือและเอเชียแปซิฟิกที่อ่อนแอกว่าคาด รวมถึงผลกระทบจากมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ