ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่ขยับในวันพุธ (29 ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนรอการตัดสินใจกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งประกาศหลังจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการแล้วในวันพุธ และติดตามการรายงานผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จำนวนมาก
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 575.40 จุด ลดลง 0.36 จุด หรือ -0.06%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,200.88 จุด ลดลง 15.70 จุด หรือ -0.19%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,124.21 จุด ลดลง 154.42 จุด หรือ -0.64% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,756.14 จุด เพิ่มขึ้น 59.40 จุด หรือ +0.61%
บรรดานักลงทุนคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ แต่จุดสนใจหลักอยู่ที่ถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดซึ่งอาจกำหนดทิศทางของตลาดการเงินทั่วโลกในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป หลังจากข้อมูลคาดการณ์เมื่อวันอังคารบ่งชี้ว่า ภาพรวมของภาคธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย
หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1.4% โดยหุ้น Santander ของสเปนพุ่งขึ้น 4.3% หลังรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ขณะที่หุ้น Deutsche Bank พุ่งขึ้น 5% หลังรายงานกำไรไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น ส่วนหุ้น UBS ร่วงลงแม้กำไรสุทธิช่วงเดียวกันพุ่งสูงขึ้นก็ตาม
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 0.6% โดยหุ้น GSK บริษัทผลิตยา พุ่ง 6.6% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้และกำไรปี 2568 ขณะที่หุ้น Straumann บริษัทผลิตรากฟันเทียมจากสวิตเซอร์แลนด์พุ่ง 7.6% หลังรายงานยอดขายไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.8% และ 1.3% ตามลำดับ สอดคล้องกับราคาทองคำ ทองแดง และน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นแรง
หุ้นกลุ่มโทรคมนาคมร่วงลง 2% หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของ Telenor ซึ่งทำให้ราคาหุ้นร่วง 6% และหุ้น Nokia ร่วงลง 4.3% หลังจากดีดตัวขึ้นกว่า 20% เมื่อวันอังคาร
ส่วนปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่นักลงทุนจับตา ได้แก่ การพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ (30 ต.ค.)
นักวิเคราะห์จาก Jefferies ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อระยะกลางของยุโรปกำลังเคลื่อนไหวใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% ดังนั้น ECB จึงสามารถชะลอการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินไว้ก่อนเพื่อดูแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไป
ในบรรดาหุ้นรายตัว หุ้น Mercedes พุ่งขึ้น 4.4% หลังผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนีรายงานอัตรากำไรในธุรกิจหลักสูงกว่าที่คาด ซึ่งหนุนให้หุ้นกลุ่มยานยนต์โดยรวมปรับตัวขึ้น
หุ้น Adidas ร่วง 10.4% หลังรายงานยอดขายในอเมริกาเหนือไตรมาส 3 ลดลง 5% และส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย
ส่วนหุ้น Temenos และ Next ช่วยหนุนดัชนี STOXX 600 โดยเพิ่มขึ้น 19.7% และ 8.8% ตามลำดับ หลังจากปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี
นอกจากนี้ นักลงทุนทั่วโลกจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ได้แก่ Microsoft, Alphabet และ Meta Platforms เนื่องจากมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะหลังจากที่หุ้น Nvidia มีมูลค่าตลาดทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ