ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก รับคาดการณ์รีพับลิกัน-เดโมแครตแบ่งกันครองสภา

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 6, 2020 09:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืน โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้จะไม่มีพรรคใดครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส โดยพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ซึ่งจะขัดขวางไม่ให้นโยบายปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของนายโจ ไบเดน ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,326.46 จุด เพิ่มขึ้น 6.33 จุด, +0.19% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 24,076.22 จุด ลดลง 29.06 จุด, -0.12% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,750.78 จุด เพิ่มขึ้น 54.86 จุด, +0.21% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 12,952.49 จุด เพิ่มขึ้น 33.69 จุด, +0.26% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,421.79 จุด เพิ่มขึ้น 8.00 จุด, +0.33% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,591.96 จุด เพิ่มขึ้น 3.34 จุด, +0.13% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,500.80 จุด ลดลง 0.69 จุด, -0.05%

นักลงทุนยังคงรอดูผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของสหรัฐ โดยขณะนี้ นายไบเดนได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 264 เสียง นำหน้าปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งได้คะแนน 214 เสียง โดยนายไบเดนต้องการอีกเพียง 6 เสียงเท่านั้นก็จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือ 270 เสียงจากทั้งหมด 538 เสียง เพื่อชนะการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งล่าสุดในวุฒิสภาบ่งชี้ว่า พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ซึ่งส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น เพราะอาจทำให้นโยบายการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของนายไบเดนไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนยังคงได้รับประโยชน์จากนโยบายลดอัตราภาษีของรัฐบาลทรัมป์ต่อไป

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมีการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%

ในการประชุมครั้งนี้ เฟดยังประกาศว่าจะเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน รวมทั้งใช้เครื่องมืออื่นตามที่จำเป็น โดยขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ