ดัชนีดาวโจนส์ร่วงกว่า 100 จุด ปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ขณะที่นักลงทุนผิดหวังต่อตัวเลขว่างงานในสหรัฐที่สูงกว่าคาด
นอกจากนี้ ตลาดยังมีความกังวลต่อการพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 11.8 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 256,000 ราย
ณ เวลา 21.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 29,300.87 จุด ลบ 137.55 จุด หรือ 0.47%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 742,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 710,000 ราย จากระดับ 709,000 รายที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะระดับ 6.9 ล้านรายในช่วงปลายเดือนมี.ค. โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ภาคธุรกิจปิดกิจการ และมีการปลดพนักงานจำนวนมาก
ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 429,000 ราย สู่ระดับ 6.37 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ดี ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และโมเดอร์นา อิงค์
ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี แถลงว่า ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นสุดท้ายบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งทั้งสองบริษัทพัฒนาร่วมกัน มีประสิทธิภาพ 95% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19
ไฟเซอร์เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะยื่นขออนุมัติการใช้วัคซีนดังกล่าวต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ในอีกไม่กี่วัน ขณะที่บริษัทคาดว่าจะผลิตวัคซีนจำนวน 50 ล้านโดสในปีนี้ และ 1,300 ล้านโดสในปีหน้า
ทางด้านบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐ แถลงว่า ผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเฟสที่ 3 พบว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 94.5% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19
นายแพทริก สเปนเซอร์ รองประธานของวาณิชธนกิจไบรด์ กล่าวว่า ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 40,000 จุดในปีหน้า
"เราได้พูดคุยกันในบริษัทว่าดาวโจนส์อาจแตะ 40,000 จุดในปีหน้า เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ประกอบด้วยหุ้น value มากกว่าหุ้น growth โดยหุ้น value จะปรับตัวโดดเด่นขึ้น และหุ้น growth จะปรับตัวอย่างมีเสถียรภาพ" นายสเปนเซอร์กล่าวในรายการ Street Signs Europe ของสถานีโทรทัศน์ CNBC
ทั้งนี้ หุ้น value เป็นหุ้นกลุ่มที่มีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และจะปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในระยะนี้ หุ้น value ได้ดีดตัวขึ้น ขานรับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวขึ้น ส่วนหุ้น growth เป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวมากกว่าอัตราเฉลี่ยในตลาด เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากนี้ นายสเปนเซอร์ยังกล่าวว่า ขณะนี้ยังคงมีเงินจำนวนมากรอเข้าลงทุนในตลาดหุ้น โดยมีเงินทุนมากถึง 6.5 ล้านล้านดอลลาร์พักอยู่ในบัญชีตลาดเงิน โดยส่วนหนึ่งเป็นเงินสด และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
อย่างไรก็ดี นายสเปนเซอร์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายดัชนี และกำหนดเวลาที่ดาวโจนส์จะแตะระดับ 40,000 จุด
หากดัชนีดาวโจนส์พุ่งแตะระดับ 40,000 จุดในปีหน้า ก็จะเป็นการทะยานขึ้น 35% จากระดับปัจจุบัน