ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวแคบในวันนี้ โดยตลาดวอลล์สตรีทพักฐาน หลังจากดีดตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ ขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน
ณ เวลา 21.18 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 35,753.83 จุด ลบ 3.05 จุด หรือ 0.01%
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในการซื้อขายวานนี้ และปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 5 ในรอบ 6 วันทำการ
บริษัทจำนวน 30% ในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว โดย 82% ในจำนวนดังกล่าวมีกำไรที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่ 80% มีรายได้ที่สูงกว่าคาด และนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 35%
ราคาหุ้นของเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายวันนี้ หลังเมอร์คอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกสามารถผลิตยาโมลนูพิราเวียร์โดยไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตี ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมาก
ณ เวลา 20.54 น. ราคาหุ้นเมอร์คร่วงลง 1.07% สู่ระดับ 81.37 ดอลลาร์
ทั้งนี้ องค์การสิทธิบัตรยา (MPP) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยในวันนี้ว่า MPP ได้บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ โดยบริษัททั้งสองจะอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกผลิตยาโมลนูพิราเวียร์เพื่อให้ประเทศยากจนสามารถเข้าถึงยาดังกล่าว
การบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ จะทำให้ MPP สามารถมอบสิทธิบัตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์แก่บริษัทที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และได้รับการอนุมัติให้ผลิตยาดังกล่าว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เมอร์คได้ซื้อลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการผลิตและจำหน่ายยาโมลนูพิราเวียร์แก่ประเทศต่างๆทั่วโลกในเดือนพ.ค.2563
นอกจากนี้ บริษัทเมอร์คและบริษัทริดจ์แบ็คจะไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตีจากบริษัทที่ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ตราบใดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) มีความเห็นว่าโรคโควิด-19 ยังคงถือเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
การทำข้อตกลงในวันนี้มีขึ้น หลังจากที่เมอร์คได้มอบสิทธิบัตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ให้แก่บริษัทยาของอินเดียจำนวน 7 แห่ง
ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่ายอดขายยาโมลนูพิราเวียร์ทั่วโลกจะสร้างรายได้มหาศาลให้แก่เมอร์ค ขณะที่รัฐบาลสหรัฐได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส คิดเป็นวงเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งทั้งในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะจัดการประชุมในวันพรุ่งนี้
ส่วนในสัปดาห์หน้า ธนาคารกลางออสเตรเลียจะจัดการประชุมในวันอังคาร, ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จัดการประชุมในวันอังคารและพุธ ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางนอร์เวย์จัดการประชุมในวันพฤหัสบดี
นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่ BoE อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่แล้ว