ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวแคบในวันนี้ ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้และพรุ่งนี้
ณ เวลา 20.15 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 37 จุด หรือ 0.1% สู่ระดับ 35,837 จุด
ราคาหุ้นของไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.8% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ หลังบริษัทประกาศปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในปีนี้ขึ้นอีก 7.5% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท จากเดิมที่ระดับ 3.35 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ การปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ไฟเซอร์สามารถลงนามในข้อตกลงกับหลายประเทศในการจำหน่ายวัคซีนเข็มกระตุ้น และจากการที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศต่างๆให้การอนุมัติการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ให้แก่เด็ก
ขณะนี้ วัคซีนต้านโควิด-19 ได้กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของไฟเซอร์ในประวัติศาสตร์ 172 ปีของบริษัท
อย่างไรก็ดี ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับบริษัทไบออนเทค ซึ่งร่วมพัฒนาวัคซีนต้านโควิดแบบ mRNA ไฟเซอร์จะแบ่งค่าใช้จ่ายและกำไรจากการจำหน่ายวัคซีนในสัดส่วน 50-50 กับไบออนเทค
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทเทสลาดิ่งลง 5% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาด หลังจากที่นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลายอมรับว่า ทางบริษัทยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัทเฮิร์ซเพื่อจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 100,000 คันแต่อย่างใด
"ผมขอย้ำว่ายังไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด โดยเรื่องข้อตกลงกับเฮิร์ซไม่ได้มีผลกระทบต่อสถานะการเงินของเรา" นายมัสก์ระบุทั้งนี้ ราคาหุ้นของเทสลาพุ่งขึ้นกว่า 10% ในวันที่ 25 ต.ค. หลังมีข่าวว่า บริษัทเฮิร์ซ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถยนต์เช่ารายใหญ่ของโลก ได้สั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาจำนวน 100,000 คัน ส่งผลให้เทสลากลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับแอปเปิล แอมะซอน และไมโครซอฟท์
คำสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าครั้งใหญ่ที่สุด และจะทำรายได้ให้แก่เทสลาถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์
ราคาหุ้นของเทสลายังได้รับผลกระทบจากการที่บริษัทเรียกคืนรถยนต์จำนวนเกือบ 12,000 คันที่มีการจำหน่ายในสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากมีปัญหาของซอฟท์แวร์ซึ่งอาจทำให้ระบบเบรกฉุกเฉินทำงานผิดปกติ
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้และพรุ่งนี้ โดยคาดว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเพิ่มคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลางปีหน้า หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในเดือนก.ย.
FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งวิเคราะห์การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้ม 50% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมิ.ย.2565 เทียบกับตัวเลขคาดการณ์เพียง 15% ก่อนหน้านี้
นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 450,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ คาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.7% ในเดือนต.ค. จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.