หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) รายงานในวันอาทิตย์ (29 มิ.ย.) ว่า กลุ่มบุคคลวงในของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ได้ทยอยขายหุ้นของบริษัทออกมาเป็นมูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปีที่ผ่านมา โดยกิจกรรมการขายหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลัง เพื่อทำกำไรจากกระแสความสนใจของนักลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น
รายงานระบุว่า กว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าดังกล่าว หรือกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการขายที่เกิดขึ้นเฉพาะในเดือนนี้ ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตชิปจากแคลิฟอร์เนียรายนี้ไต่ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ข้อมูลที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า เจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดีย ก็ได้เริ่มขายหุ้นในสัปดาห์นี้เช่นกัน ซึ่งเป็นการขายครั้งแรกของเขานับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว
ราคาหุ้นของอินวิเดียเพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อวันพุธที่แล้ว (25 มิ.ย.) และทำให้อินวิเดียกลับขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง โดยนักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่าบริษัทกำลังเกาะกระแส "คลื่นสีทอง" (Golden Wave) ของเทคโนโลยี AI
การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นครั้งล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้หวนกลับมาให้ความสนใจกับการลงทุนในกลุ่ม AI อีกครั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปและบริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเติบโตอย่างมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ หุ้นของอินวิเดียได้ฟื้นตัวขึ้นมากว่า 60% จากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยหุ้นในสหรัฐฯ รวมถึงอินวิเดีย ได้ฟื้นตัวกลับมาเนื่องจากความคาดหวังว่า ทำเนียบขาวจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าเพื่อลดผลกระทบจากกำแพงภาษีดังกล่าวได้