มหากาพย์ความขัดแย้งภายในตระกูลเมอร์ด็อกเพื่อแย่งชิงอำนาจควบคุมอาณาจักรสื่อระดับโลกได้ข้อยุติแล้ว หลังจากมีการประกาศข้อตกลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ย.) ส่งผลให้แลคลัน เมอร์ด็อก บุตรชายคนโตสายอนุรักษนิยมของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก เข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จในบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อย่างฟ็อกซ์นิวส์ (Fox News) และวอลล์สตรีท เจอร์นัล (WSJ) ขณะที่พี่น้องอีกสามคนตกลงขายหุ้นและรับเงินสดมูลค่ามหาศาล ยุติปัญหาการสืบทอดตำแหน่งที่ยืดเยื้อมานาน
เรื่องราวการชิงอำนาจในตระกูลเมอร์ด็อกนี้เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้กับซีรีส์โทรทัศน์ชื่อดังเรื่อง "Succession" ที่ว่าด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคมของสมาชิกในครอบครัวเจ้าของธุรกิจสื่อ ซึ่งบทสรุปในชีวิตจริงครั้งนี้จะยังคงรักษาทิศทางของสื่อในเครือเมอร์ด็อกให้เป็นกระบอกเสียงของฝ่ายอนุรักษนิยมต่อไป
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว เจมส์ เมอร์ด็อก, เอลิซาเบธ เมอร์ด็อก และพรูเดนซ์ แมคคลาวด์ ซึ่งเป็นลูก ๆ ของรูเพิร์ต จะได้รับเงินจากการขายหุ้นที่ถือครองอยู่คนละประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์ โดยทั้งหมดตกลงที่จะทยอยขายหุ้นส่วนตัวในบริษัทฟ็อกซ์คอร์ป (Fox Corp) และนิวส์คอร์ป (News Corp) ภายในระยะเวลา 6 เดือน
แถลงการณ์จากบริษัทระบุว่า เงินสดที่พี่น้องทั้งสามจะได้รับมาจากการขายหุ้น Class B ที่มีสิทธิออกเสียงของฟ็อกซ์คอร์ปจำนวน 16.9 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญ Class B ของนิวส์คอร์ปอีก 14.2 ล้านหุ้น ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้มีราคาต่ำกว่าราคาปิดล่าสุดราว 4.5% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.37 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งกองทรัสต์ของครอบครัวขึ้นใหม่เพื่อดูแลผลประโยชน์ของแลคลัน เมอร์ด็อก และน้องต่างมารดาอีกสองคน คือ เกรซและโคลอี ซึ่งเป็นลูกของรูเพิร์ตที่เกิดกับเวนดี เติ้ง โดยกองทรัสต์ใหม่นี้จะมีมูลค่าราว 3.3 พันล้านดอลลาร์ และจะถือหุ้น Class B ของฟ็อกซ์ในสัดส่วน 36% และหุ้น Class B ของนิวส์คอร์ปอีก 33%
อนึ่ง จุดเริ่มต้นของข้อตกลงนี้สืบเนื่องมาจากการต่อสู้ทางกฎหมายในศาลเมืองรีโน รัฐเนวาดา เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว หลังจากรูเพิร์ต เมอร์ด็อก ในวัย 94 ปี พยายามแก้ไขเงื่อนไขของกองทรัสต์ครอบครัวที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 หลังการหย่าร้างจากภรรยาคนที่สอง ซึ่งกองทรัสต์ดังกล่าวถือหุ้นใหญ่ในฟ็อกซ์และนิวส์คอร์ป
เงื่อนไขเดิมของกองทรัสต์ระบุว่า เมื่อรูเพิร์ตเสียชีวิต หุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดจะถูกโอนไปยังลูก 4 คน ได้แก่ พรูเดนซ์, เอลิซาเบธ, แลคลัน และเจมส์ แต่รูเพิร์ตเกรงว่า เจมส์, เอลิซาเบธ และพรูเดนซ์ ซึ่งมีแนวคิดทางการเมืองสายกลาง อาจร่วมมือกันโค่นล้มแลคลัน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของฟ็อกซ์และประธานของนิวส์คอร์ป
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ซึ่งได้เอกสารลับจากศาลมารายงานว่า รูเพิร์ตได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเงื่อนไขเพื่อป้องกันไม่ให้พี่น้องของแลคลันเข้ามาแทรกแซงได้ แต่เมื่อเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลพินัยกรรมเมืองรีโนได้ปฏิเสธคำร้องดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่ารูเพิร์ตและแลคลันกระทำการ "โดยไม่สุจริต" ในความพยายามแก้ไขกองทรัสต์ที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ คำตัดสินดังกล่าวได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ทุกฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจาจนเกิดข้อตกลงในที่สุด
ปัจจุบัน ฟ็อกซ์นิวส์ยังคงเป็นสถานีข่าวอันดับหนึ่งในสหรัฐฯ และมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน
ด้านแคลร์ เอ็นเดอร์ส ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัยสื่อ เอ็นเดอร์ส อะนาไลซิส (Enders Analysis) ในสหราชอาณาจักรให้ทัศนะว่า "ตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ฟ็อกซ์นิวส์จะมีผู้พิทักษ์แนวทางอนุรักษนิยมอยู่เสมอ และหากมองในมุมของผู้ถือหุ้น นี่ถือเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมาก"