โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) กลุ่มยานยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมนี รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 พลิกเป็นขาดทุนจากการดำเนินงานถึง 1.3 พันล้านยูโร (1.52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) นับเป็นการขาดทุนรายไตรมาสครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีสาเหตุสำคัญจากการกลับลำทางกลยุทธ์ของปอร์เช่ (Porsche) บริษัทลูก ที่สร้างภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล ประกอบกับแรงกดดันจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ
โฟล์คสวาเกนเปิดเผยในวันนี้ (30 ต.ค.) ว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี บริษัทต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 4.7 พันล้านยูโร อันเนื่องมาจากการทบทวนกลยุทธ์รถยนต์ไฟฟ้าของปอร์เช่ ขณะเดียวกัน คาดว่ากำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะสร้างต้นทุนให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรปรายนี้เป็นมูลค่าสูงถึง 5 พันล้านยูโรตลอดทั้งปี
"ผลกระทบเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไป และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องเดินหน้าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างเข้มข้น ผลักดันมาตรการต่าง ๆ และแสวงหาแนวทางใหม่อยู่เสมอ" อาร์โน อันท์ลิตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) กล่าวในแถลงการณ์ เขายอมรับว่าภาพรวมของปีนี้ "ค่อนข้างผสมผสาน" แม้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปจะแข็งแกร่งและมีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้าง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV ก็สร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรอย่างหนัก
ตัวเลขขาดทุนในไตรมาสนี้สวนทางกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กลุ่มบริษัทมีกำไร 2.8 พันล้านยูโร อย่างไรก็ตาม ผลขาดทุนดังกล่าวยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.7 พันล้านยูโร ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของโฟล์คสวาเกนดีดตัวขึ้นกว่า 1% ในการซื้อขายช่วงเช้าที่ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต
หัวใจของปัญหาอยู่ที่ปอร์เช่ ซึ่งโฟล์คสวาเกนถือหุ้น 75.4% ที่ต้องเผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนัก หลังตัดสินใจชะลอแผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า และหันกลับไปให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฮบริดและเครื่องยนต์สันดาปอีกครั้ง เพื่อเอาใจลูกค้าที่มองว่ารถสปอร์ตไฟฟ้ายังขาด "ความเร้าใจ" จากเสียงคำรามของเครื่องยนต์สันดาป
สถานการณ์นี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บริหาร โดย โอลิเวอร์ บลูเม ซึ่งปัจจุบันควบตำแหน่งซีอีโอของทั้งโฟล์คสวาเกนและปอร์เช่ เตรียมส่งไม้ต่อในตำแหน่งซีอีโอของปอร์เช่ในช่วงสิ้นปีนี้ เพื่อกลับมาบริหารบริษัทแม่เพียงตำแหน่งเดียว ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่หนาหูขึ้นจากกลุ่มนักลงทุน ซึ่งตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพในการบริหารงานสองบริษัทใหญ่พร้อมกันในภาวะวิกฤต
นอกเหนือจากปัญหาภายในและกำแพงภาษี อุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนียังต้องรับมือกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดจีน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อผู้ผลิตและซัพพลายเออร์
แม้จะเผชิญภาวะขาดทุน แต่โฟล์คสวาเกนยังคงเป้าหมายคาดการณ์ผลประกอบการตลอดทั้งปีไว้ตามเดิม อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตั้งข้อสังเกตว่าการคาดการณ์นี้อยู่ภายใต้สมมติฐานว่ามีอุปทานชิปเซมิคอนดักเตอร์เพียงพอ ซึ่งเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณถึงสมรภูมิรบครั้งใหม่ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่อาจส่งผลให้สายการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องหยุดชะงักได้ทุกเมื่อ