ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตลาดการเงินก็อาจเกิดความปั่นป่วน โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรสหรัฐ เพราะรัฐบาลอาจต้องคืนเงินภาษีมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ที่เก็บไปแล้ว และจะสูญเสียรายได้หลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปี
ทั้งนี้ ภาษีที่เรียกเก็บตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ในปีนี้ ถือเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดของรายได้ศุลกากรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 1.18 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน โดยรายได้ส่วนนี้ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาล เช่น ค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม ดอกเบี้ย และงบกลาโหม ซึ่งทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 1.715 ล้านล้านดอลลาร์
'นี่คือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญ เพราะเรากำลังติดนิสัยพึ่งพารายได้จากภาษีเหล่านี้' นายเออร์นี เทเดสกี นักวิจัยอาวุโสจาก Yale University Budget Lab กล่าว พร้อมเสริมว่า การพึ่งพาภาษีเช่นนี้จะทำให้รัฐบาลในอนาคตลดภาษีได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ นางแองเจลา ลูอิส หัวหน้าฝ่ายศุลกากรของบริษัท Flexport กล่าวว่า การคืนเงินก็จะซับซ้อนมากเช่นกัน เพราะยังไม่เคยมีการเพิกถอนภาษีในระดับนี้มาก่อน โดยผู้ประกอบการนำเข้าจะต้องยื่นคำขอแก้ไขต่อกรมศุลกากรของสหรัฐ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก ใช้เวลาหลายปี และอาจไม่คุ้มค่าสำหรับบริษัทขนาดเล็ก
ทั้งนี้ ศาลฎีกาสหรัฐมีกำหนดทำการไต่สวนในวันพรุ่งนี้ (5 พ.ย.) ต่อคดีที่ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของเขา โดยระบุว่า ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977
ด้านปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะไม่เข้าฟังการพิจารณาคดีดังกล่าว แม้เขาต้องการจะเข้าร่วมอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ต้องการสร้างความวุ่นวายต่อกระบวนการพิจารณาคดี
'ผมอยากไปมากจริง ๆ แต่ผมไม่อยากทำอะไรที่ทำให้ความสำคัญของการตัดสินคดีถูกเบี่ยงเบนไป ผมไม่อยากให้ความสนใจตกอยู่ที่ตัวผม เรื่องนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับผม แต่เป็นเรื่องของประเทศของเรา' ปธน.ทรัมป์กล่าว
ปธน.ทรัมป์ได้ปกป้องการใช้มาตรการภาษีของตน โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ หลังจากที่สหรัฐถูกเอาเปรียบจากประเทศคู่ค้ามานานหลายปี โดยต้องเผชิญกับอัตราภาษีระดับสูงจากนานาประเทศ
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า มาตรการภาษีจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสหรัฐ และช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดหลายครั้ง
'ถ้าเราไม่มีภาษี เราก็ไม่มีความมั่นคงแห่งชาติ และทั่วโลกจะหัวเราะเยาะเรา เพราะพวกเขาใช้ภาษีเป็นอาวุธทำร้ายเรามานานหลายปี และเอาเปรียบเรา'
'เราถูกประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะจีน เอาเปรียบมานานหลายปี แต่ตอนนี้ไม่อีกแล้ว ภาษีของเราจะนำมาซึ่งความมั่นคงแห่งชาติ' ปธน.ทรัมป์กล่าว
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่บังคับใช้กฎหมาย IEEPA ซึ่งโดยปกติแล้วมักถูกใช้เพื่อกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศคู่แข่ง โดยกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการควบคุมธุรกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภทได้อย่างกว้างขวาง เมื่อมีการประกาศ "ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ"
ในกรณีนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศให้ "การขาดดุลการค้าของสหรัฐมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024" เป็นภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ ทั้งที่จริงแล้ว สหรัฐมีการขาดดุลการค้ามาโดยตลอดทุกปีนับตั้งแต่ปี 1975
นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เขาคาดว่าศาลฎีกาจะตัดสินให้ฝ่ายรัฐบาลชนะ และคงไว้ซึ่งการเก็บภาษีศุลกากรตามกฎหมาย IEEPA แต่หากศาลตัดสินให้มีการเพิกถอนการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ก็สามารถหันไปใช้กฎหมายอื่นแทนได้ เช่น มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีนำเข้าได้สูงถึง 15% เป็นเวลา 150 วัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังสามารถใช้มาตรา 338 ของกฎหมายการค้าปี 1930 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการเก็บภาษีนำเข้ามากถึง 50% จากประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติต่อสหรัฐ
'คุณควรคิดไว้เลยว่าภาษีเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไป ประเทศที่ได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐก็ควรรักษาข้อตกลงนั้นไว้ ประเทศที่ได้ดีลดี ๆ ไปแล้ว ก็ควรจะยึดไว้ให้มั่น'
'เรายังคงสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น ๆ แต่ IEEPA ถือว่าเป็นช่องทางที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการเจรจามากที่สุด ส่วนกฎหมายอื่น ๆ อาจยุ่งยากกว่า แต่ก็ยังสามารถใช้ได้ผล"
นอกจากนี้ นายเบสเซนต์ได้อ้างถึงมาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าปี 1962 ซึ่งให้อำนาจในการใช้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ และมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ซึ่งใช้ควบคุมการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
'นี่เป็นนโยบายสำคัญของท่านประธานาธิบดี ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว ศาลฎีกามักไม่เข้าไปแทรกแซงนโยบายหลักเหล่านี้' นายเบสเซนต์กล่าว
สำหรับคดีในศาลฎีกาครั้งนี้ครอบคลุมเพียงบางส่วนของภาษีที่ปธน.ทรัมป์เรียกเก็บในปีนี้เท่านั้น โดยขณะนี้รัฐบาลของเขาได้ใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น ๆ เพื่อเก็บภาษีเพิ่มเติมอยู่แล้ว เช่น ภาษีตามมาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าปี 1962 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในเชิงยุทธศาสตร์ เช่น รถยนต์ ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์ ยา หุ่นยนต์ และอากาศยาน รวมถึงภาษีตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 1974
'รัฐบาลนี้ยึดมั่นในนโยบายภาษีศุลกากรในฐานะเสาหลักของนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทต่างๆ ควรวางแผนตามนั้น' นายทิม ไบรท์บิลล์ จากสำนักงานกฎหมาย Wiley Rein ในกรุงวอชิงตัน กล่าว
เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่าภาษีเหล่านี้ได้ผล เพราะบังคับให้ประเทศคู่ค้าใหญ่ ๆ เช่น ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ต้องยอมเจรจาและยอมอ่อนข้อต่อเงื่อนไขทางการค้า ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ