สภาคองเกรสของสหรัฐมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายในการเพิ่มอำนาจการกู้ยืมของรัฐบาล ซึ่งเป็นความพยายามเพื่อช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้และยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่ยืดเยื้อ
ด้วยการครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่ามหาศาลถึง 1.28 ล้านล้านดอลลาร์นั้น จึงทำให้จีนเป็นผู้ถือครองตราสารหนี้ของสหรัฐรายใหญ่ที่สุดโลก และความเสี่ยงที่จีนเผชิญอยู่นั้นจึงอาจจะรุนแรงมากที่สุด
ทั้งนี้ จีนขานรับทางออกในการผ่าทางตันเพดานหนี้ของสหรัฐ โดยนายฮัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน เปิดเผยวานนี้ว่า "ทางออกดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐเอง แต่ยังช่วยหนุนเสถียรภาพของเศรษฐกิจของโลกด้วย"
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญประเมินทางออกดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง และเตือนถึงความเสี่ยงในอนาคต
"แนวทางการคลี่คลายการเผชิญหน้าทางการคลังดังกล่าวเป็นไปตามการคาดการณ์ของเรา อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐมีการขยายเพดานหนี้" นายตัน หยาหลิง ประธานสถาบันวิจัยการลงทุนด้านปริวรรตเงินตราจีนกล่าว
"เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เคยเกิดสถานการณ์ในลักษณะดังกล่าวแล้ว โดยในวิกฤตหนี้สหรัฐปี 2554 ก็มีภาวะหน้าผาการคลัง และความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ตลอดจนการปิดหน่วยงานรัฐบาล นี่เป็นความผันแปรภายใต้ประเด็นหลักที่เหมือนกัน ซึ่งก็คือสหรัฐกำลังเบี่ยงเบนความสนใจของทั่วโลกไปจากเจตนารมณ์ที่แท้จริง มาอยู่ที่การระดมทรัพยากรเพื่อการพัฒนาประเทศของสหรัฐเอง" นายตันกล่าว
"ในท้ายที่สุด ก็จะลงเองด้วยการเพิ่มเพดานหนี้ตามเคย" นายตันกล่าวเสริม
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ก่อให้เกิดความกังวลในประชาคมโลก ความโกลาหลทางเศรษฐกิจบนพื้นแผ่นดินสหรัฐไม่ว่าครั้งใดก็มีแนวโน้มทำให้ประเทศอื่นๆได้รับแรงสั่นสะเทือนอยู่เสมอ
"การผิดนัดชำระหนี้ไม่เพียงเป็นภัยต่อชื่อเสียงของสหรัฐเท่านั้น แต่ยังทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นอันต้องหยุดชะงักด้วย จีนหวังและเชื่อว่าสหรัฐจะสามารถแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ได้ในเวลาอันเหมาะสม เพื่อช่วยการหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินของโลก" นายเซิน ตันหยาง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์วานนี้
แม้พรรคเดโมแครตและรีพับลีกันสามารถประนีประนอมได้ตามคาดและบรรลุข้อตกลงแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นอีกมุมว่า ความเสี่ยงหนี้ส่อแววใกล้เข้ามา เนื่องจากระบบการพึ่งพาการก่อหนี้ของสหรัฐไม่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงไป
นายจาง ม่อหนาน นักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์สารสนเทศแห่งรัฐกล่าวว่า การพึ่งพาการก่อหนี้เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการบริโภคที่มากเกินไปในสหรัฐ
ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งระบุว่า สหรัฐควรปรับเปลี่ยนระบบการพึ่งพาต่างประเทศมากเกินไปในลักษณะดังกล่าว หากสหรัฐต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลกมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
"ยังมีประเด็นพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข วิกฤตเช่นนี้อาจเกิดขึ้นอีก ในราว 3 เดือนข้างหน้า" นายหลี่ เต้าคุย อดีตที่ปรึกษาของธนาคารกลางจีน ซึ่งคาดถึงการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สหรัฐในเร็วๆนี้
นายโจว ฉิงหมิง ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินกล่าวว่า จีนควรเดินหน้ากระจายพอร์ทปริวรรตเงินตรา เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสหรัฐที่มีสัดส่วนจำนวนมาก
นายเซิน ตันหยางกล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้อาจทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างหนัก และทำให้ผู้ส่งออกชาวจีนเผชิญความเสี่ยงที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะการหดตัวทั้งในด้านการนำเข้าและการส่งออก
"ทุกครั้งที่พูดถึงวิกฤตหนี้อเมริกาก็มักสร้างความวิตกกังวลต่อจีนได้เสมอ เมื่อพิจารณาจากปริมาณการส่งออกจำนวนมหาศาลของจีนไปยังสหรัฐ"
"แนวทางแก้ปัญหานี้ในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับจีนเอง ในการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกมาเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยการบริโภคในประเทศ" นายโจวกล่าว