รายงานของดีบีเอส ซึ่งเขียนโดยคริส เหลียง และลิลลี่ โล นักเศรษฐศาสตร์ของดีบีเอสประจำฮ่องกง ระบุว่า ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นและการแข็งค่าของเงินหยวนกำลังผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติหาทางเลือกด้านการผลิตใหม่ๆ
ส่วนแบ่งตลาดของจีนในสหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของจีนนั้น ลดลงเป็นครั้งแรกในปี 2554 โดยจีนเสียส่วนแบ่งเล็กน้อยในประเภทสินค้าที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งทอ ไฟเบอร์ และเสื้อผ้า
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนไม่ได้เผชิญภัยรุนแรงจากบังคลาเทศและกัมพูชา หากไม่นับความได้เปรียบด้านต้นทุนของทั้งสองประเทศ โดยบังคลาเทศและกัมพูชาครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐและอียูในระดับที่ต่ำกว่ามากและดูเหมือนว่าจะหยุดนิ่งแล้ว
รายงานระบุว่า มีแนวโน้มว่าประเทศเหล่านี้จะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะถึงระดับการบูรณาการในแนวดิ่งซึ่งเกิดที่จีนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ขณะเดียวกันยังมีกระแสความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสถิติความปลอดภัยและเสถียรภาพทางการเมือง