เพียงไม่กี่วันหลังเกิดเหตุโจมตีในปารีส ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในฝรั่งเศสนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น กลุ่ม IS ก็ออกมาข่มขวัญผ่านคลิปวีดิโอว่า จะโจมตีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี และมหานครนิวยอร์ก
การคุกคามดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามว่าสหรัฐมีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ และเจ้าหน้าที่จะสามารถป้องกันประเทศจากการโจมตีโดยกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงได้หรือไม่
โคลิน พี.คลาร์ก นักวิเคราะห์ด้านการเมืองจาก RAND Corporation กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกระทรวงกลาโหมสหรัฐไม่เพียงแต่ปกป้องประเทศจากการโจมตีเท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะตอบโต้ หากกลุ่ม IS ก่อเหตุโจมตีในสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน และความสามารถของการบังคับใช้กฎหมาย
ทั้งนี้ แม้จะมีการยืนยันจากปธน.บารัค โอบามา ว่า สหรัฐมีศักยภาพในการสกัดการก่อการร้ายจากกลุ่ม IS แต่เหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในปารีสสะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งใดแน่นอน
"เห็นได้ชัดว่า กลุ่ม IS ยังไม่ได้ถูกสกัด กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีความสามารถด้านการปฏิบัติการและระบบในการโจมตีพื้นที่ต่างๆบนโลก ทั้งอิรัก ซีเรีย เลบานอน ตูนีเซีย ลิเบีย และตอนนี้ก็ถึงคราวของยุโรป ผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นได้รับการฝึกฝนและสามารถโจมตีได้อย่างเชี่ยวชาญ" คลาร์กกล่าว
ในขณะที่สหรัฐเดินหน้าแผนการต่อต้านกลุ่ม IS นั้น บรรดานักวิเคราะห์ทางการเมืองต่างก็มีความเห็นว่า ความพยายามของสหรัฐยังไม่มากพอ และเป็นแค่ความพยายามในลักษณะการทำพีอาร์ มากกว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่จริงจังเพื่อทำลายกลุ่มก่อการร้ายเหล่านั้น
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังกล่าวด้วยว่า สหรัฐพุ่งเป้าโจมตีกลุ่ม IS ในระดับที่น้อยเกินไปและเทียบไม่ได้กับยุทธศาสตร์การโจมตีของรัฐบาลในชุดก่อนๆ
เวน ไวท์ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองภูมิภาคตะวันออกกลาง ในสังกัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า เหตุผลที่ทำให้สหรัฐไม่ประสบความสำเร็จในการโจมตีก็คือ ผู้นำกลุ่ม IS และสมาชิกเรียนรู้ที่จะไม่เคลื่อนไหวหรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
ประการที่สองก็คือ IS ฉวยโอกาสจากหลายๆสถานการณ์ในการแทรกตัวปะปนเข้ามาในย่านชุมชน และเส้นทางการจราจร และประการที่สาม สหรัฐไม่มีเวลามากพอในการสืบหาข้อมูลเพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำของเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม IS
ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวด้วยว่า มีการทิ้งระเบิดโจมตีกลุ่ม IS น้อยเกินไป โดยเฉลี่ยจำนวนภารกิจการทิ้งระเบิดมีอยู่ประมาณ 10 ถึง 15 ครั้งต่อวัน ในขณะที่ปฏิบัติการทิ้งระเบิดครั้งก่อนของสหรัฐรุนแรงมากกว่านี้ โดยการทิ้งระเบิดถึง 1,000 ครั้งต่อวัน
นอกจากนี้ การที่สหรัฐเพิกเฉิยต่อการโจมตีคลังน้ำมันที่อยู่หลังแนวรบในซีเรียและอิรักที่ IS ครอบครองอยู่เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อพลเรือนนั้น ส่งผลให้กลุ่ม IS ยังมีเงินทุนเอาไว้ใช้ในการโจมตี และยังสามารถลักลอบขนส่งน้ำมันจากบ่อน้ำมันของรัฐบาลซีเรียด้วย
นักวิเคราะห์ด้านการเมืองบางคนตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดกองทัพสหรัฐจึงไม่ทำลายเมืองรัคคาในซีเรีย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่ม IS ซึ่งเรื่องนี้นายไวท์กล่าวว่า การทำลายเมืองรัคคาให้สิ้นซากจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มหัวรุนแรงแน่นอน แต่การกระทำดังกล่าวจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์
ทั้งนี้ นายไวท์มองว่า การโจมตีฐานที่มั่นดังกล่าวอาจส่งผลให้พลเรือนหลายหมื่นคนที่รอดชีวิตจากการถูกคุกคามจากกลุ่ม IS นั้น ต้องหลบหนีออกจากพื้นที่จนกลายเป็นผู้อพยพในที่สุด
นายไวท์กล่าวว่า กลยุทธ์ระยะสั้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ควรนำมาใช้คือการส่งกองกำลังทหารของชาติตะวันตกเข้าไปประจำการเพื่อยึดฐานที่มั่นของกลุ่ม IS แต่การทำเช่นนั้นอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากกลุ่ม IS จะต้องโจมตีกลับอย่างดุเดือดด้วยการวางระเบิด การวางทุ่นระเบิด ใช้มือปืนซุ่มยิง และวางระเบิดฆ่าตัวตาย
บทวิเคราะห์โดย Matthew Rusling จากสำนักข่าวซินหัว