ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดสำหรับเขา โดยเขาวิตกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "ภัยคุกคามใหญ่ที่สุดของผมก็คือเฟด เพราะเฟดกำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป"
"เฟดมีความเป็นอิสระ ดังนั้นผมจึงไม่พูดกับคุณเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจต่อสิ่งที่เขากำลังทำ" ปธน.ทรัมป์กล่าว
ปธน.ทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงเกือบ 1,400 จุด
"เป็นการปรับฐานของตลาดซึ่งผมคิดว่าเกิดจากเฟดและอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่ามาก ทำให้ภาคธุรกิจประสบปัญหา" เขากล่าว
ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวว่า นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เข้มงวดเกินไปในการใช้นโยบายการเงิน และกำลังดำเนินการผิดพลาด
ปธน.ทรัมป์กล่าวโจมตีเฟดว่า "ผมมีปัญหากับเฟด โดยเฟดได้บ้าไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าพวกเขามีปัญหาอะไรถึงได้เดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี ไม่มีเหตุผลอะไรที่เฟดจะต้องทำอย่างนั้น ซึ่งผมไม่ชอบเลย"
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า เขาจะไม่ปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่ง เพียงแต่เขารู้สึกผิดหวังต่อการดำเนินนโยบายของเฟด
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้แต่งตั้งนายพาวเวลเป็นประธานเฟดเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่นางเจเน็ต เยลเลนพ้นวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ.
ปธน.ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เขาไม่ปลื้มต่อการที่นายพาวเวลปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเขาจะวิพากษ์วิจารณ์เฟดต่อไป หากเฟดยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 6 ครั้งนับตั้งแต่ที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนม.ค.ปีที่แล้ว เทียบกับที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
นอกจากนี้ เฟดได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอีก 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ รวมทั้งมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐ และทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ปธน.ทรัมป์ให้ความสนใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปิดฉากทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า