รายงานของ S&P Global ที่เปิดเผยในวันนี้ (6 พ.ค.) บ่งชี้ว่า สภาวะธุรกิจในภาคเอกชนของสิงคโปร์ดีขึ้นในเดือนเม.ย. โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) หลังปรับค่าตามฤดูกาลเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.8 จาก 52.7 ในเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
รายงานระบุว่า ดัชนี PMI ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 50 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน บ่งชี้ว่า สภาวะธุรกิจในภาคเอกชนยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นการขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ยอดคำสั่งซื้อใหม่เร่งตัวขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ระดับการจัดซื้อและสินค้าคงคลังก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ระดับการจ้างงานยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณงานค้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ราคาขายเฉลี่ยก็ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง และความพยายามของภาคธุรกิจในการผลักดันยอดขาย ท่ามกลางความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในสิงคโปร์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
จิ้งอี๋ พาน รองผู้อำนวยการด้านเศรษฐศาสตร์ของ S&P Global Market Intelligence กล่าวว่า "ข้อมูลของ S&P Global สิงคโปร์ในเดือนเม.ย. เผยให้เห็นว่า ภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่เร็วขึ้น"
"อย่างไรก็ดี หลักฐานที่มีชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเพิ่มเติมของการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก่อนที่ภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้ ขณะที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและอำนาจในการกำหนดราคาได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากข้อกังวลต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวโน้มการค้าและการเติบโตทั่วโลก นอกจากนี้ การเลิกจ้างก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะมีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากก็ตาม ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังของภาคธุรกิจในช่วงเริ่มต้นไตรมาส 2/2568" จิ้งอี๋ พาน กล่าวเสริม