ผลสำรวจโดยเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ที่เปิดเผยในวันนี้ (4 มิ.ย.) บ่งชี้ว่า ภาคบริการของสหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ กลับมาขยายตัวได้เล็กน้อยในเดือนพ.ค. หลังจากที่เคยหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีครึ่งในเดือนเม.ย. อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของ UK ปรับตัวขึ้นเป็น 50.9 ในเดือนพ.ค. จาก 49.0 ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เบื้องต้นที่ 50.2
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
การปรับขึ้นของดัชนีภาคบริการดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของ UK กลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ระดับ 50.3 ในเดือนพ.ค. จาก 48.5 ในเดือนเม.ย.
สถานการณ์ดูดีขึ้นเมื่อยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เคยลดลงอย่างมากในเดือนเม.ย. ก็กลับมาฟื้นตัวได้ดีในเดือนพ.ค. ส่วนยอดสั่งซื้อใหม่โดยรวมก็ลดลงในอัตราที่ชะลอลง ปัจจัยเหล่านี้ช่วยหนุนให้ความคาดหวังต่อผลผลิตในอนาคตปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจ PMI ยังสะท้อนให้เห็นว่า ภาคธุรกิจยังคงเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนค่าจ้างพนักงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเกือบ 7% และภาระเงินสมทบประกันสังคมที่นายจ้างต้องจ่ายเพิ่ม ปัจจัยทั้งสองส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทที่มีลูกจ้างค่าแรงต่ำหรือพนักงานพาร์ทไทม์จำนวนมาก
บริษัทต่าง ๆ ได้ปรับลดจำนวนพนักงานลงติดต่อกันมา 8 เดือนแล้ว โดยส่วนใหญ่ใช้วิธีไม่จ้างคนใหม่มาแทนคนที่ออกไป ถึงแม้ว่าในเดือนพ.ค. อัตราการลดลงของจำนวนพนักงานจะอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนก็ตาม
แม้ต้นทุนโดยรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าเดือนเม.ย. แต่ก็ยังถือว่าเพิ่มเร็วอยู่ดี ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ระบุว่ามีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาสินค้าและบริการที่บริษัทเรียกเก็บจากลูกค้าก็ปรับขึ้นในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบ 7 เดือน เพราะการแข่งขันที่สูงขึ้น