ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักร (UK) ในเดือนพ.ค. หดตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566 ส่งสัญญาณว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มแผ่วลง หลังจากที่ผู้บริโภคได้ทุ่มเงินไปกับการซื้ออาหาร เสื้อผ้า และสินค้าตกแต่งบ้านในเดือนก่อนหน้า
สาเหตุที่ยอดค้าปลีกร่วงลงมาจากการใช้จ่ายที่ซบเซาลงในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ประกอบกับจำนวนลูกค้าในร้านเสื้อผ้าที่ลดลง และความต้องการสินค้า DIY ที่ลดลง เนื่องจากสภาพอากาศดีในเดือนเม.ย. ทำให้ผู้คนออกมาจับจ่ายและทำงานซ่อมแซมบ้านไปล่วงหน้าแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของสมาคมผู้ประกอบการค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร (British Retail Consortium)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 2.7% ในเดือนพ.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 0.5% และเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ยอดค้าปลีกลดลง 1.3% สวนทางกับที่คาดว่าจะเติบโต 1.7%
ตัวเลขดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทันที โดยค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเปิดเผยตัวเลขขาดดุลงบประมาณซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อยที่ระดับ 1.77 หมื่นล้านปอนด์ในเดือนพ.ค.
ก่อนหน้านี้ ภาพรวมเศรษฐกิจ UK ดูเหมือนจะสดใส โดยเติบโตเร็วเกินคาดที่ 0.7% ในไตรมาส 1/2568 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมิ.ย.ก็แตะระดับสูงสุดของปี แต่ข้อมูลล่าสุดนี้ได้ตอกย้ำภาพการชะลอตัวในเดือนเม.ย. ที่เศรษฐกิจหดตัวลงอันเนื่องมาจากการสิ้นสุดมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์และผลกระทบจากกำแพงภาษี
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังสะท้อนภาพความแตกต่างในกลุ่มผู้ค้าปลีกรายใหญ่ โดยเทสโก้ (Tesco) ซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ ยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่งเกินคาด แม้จะต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง ในทางตรงกันข้าม พาวด์แลนด์ (Poundland) ร้านค้าสินค้าราคาถูก กลับประสบปัญหาจนต้องประกาศแผนปิดสาขาถึง 68 แห่ง