S&P Global เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นประจำเดือนส.ค. ในวันนี้ (1 ก.ย.) โดยระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของประเทศได้หดตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง มีสาเหตุสำคัญมาจากยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกที่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และอุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอลง
ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายในเดือนส.ค. อยู่ที่ระดับ 49.7 แม้จะปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 48.9 ในเดือนก.ค. แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50.0 ซึ่งเป็นเกณฑ์ชี้วัดภาวะหดตัว ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ทั้งนี้ แม้อัตราการหดตัวของผลผลิตภาคโรงงานจะชะลอตัวลง แต่ยอดคำสั่งซื้อใหม่โดยรวมยังคงลดลงในอัตราเดียวกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงสภาวะตลาดที่ยังคงซบเซา
แอนนาเบล ฟิดเดส ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์แห่ง S&P Global Market Intelligence ชี้ว่า ประเด็นที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ "ยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกที่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลดลงแรงที่สุดในรอบเกือบ 1 ปีครึ่ง" โดยกลุ่มผู้ผลิตอ้างถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอลงจากตลาดสำคัญอย่างจีน ยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลภาครัฐที่ชี้ว่ายอดส่งออกในเดือนก.ค. ลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปี
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแม้รัฐบาลญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ จะได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าไปเมื่อเดือนก.ค. เพื่อลดกำแพงภาษีของสหรัฐฯ แลกกับเม็ดเงินลงทุนของญี่ปุ่นในสหรัฐฯ มูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการบังคับใช้เงื่อนไขในข้อตกลง
อย่างไรก็ดี ในผลสำรวจยังมีสัญญาณบวกด้านการจ้างงาน ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ยังคงมีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน เพื่อเตรียมรับมือกับอุปสงค์ที่อาจฟื้นตัวในอนาคต ทว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการกลับปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากความกังวลต่ออุปสงค์ลูกค้า ปัญหาสังคมสูงวัย และผลกระทบจากกำแพงภาษี
นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ถึงแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย สวนทางกับราคาขายสินค้าที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ซึ่งผู้ผลิตบางรายระบุว่าเกิดจากการแข่งขันที่รุนแรงและคำขอส่วนลดจากลูกค้าที่ส่งผลกระทบต่ออำนาจในการกำหนดราคา