เศรษฐกิจยูโรโซนในเดือนส.ค. ยังคงขยายตัวในอัตราที่เชื่องช้า โดยภาพรวมถูกฉุดรั้งจากภาคบริการที่อ่อนกำลังลงอย่างชัดเจน แม้ภาคการผลิตจะส่งสัญญาณฟื้นตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายปีก็ตาม
ผลสำรวจของ S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 51.0 ในเดือนส.ค. จาก 50.9 ในเดือนก.ค. ซึ่งแม้จะเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน แต่ยังสะท้อนการเติบโตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
ภาคการผลิตมีผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีครึ่ง แต่กลับถูกบดบังโดยภาคบริการซึ่งเป็นภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจ ที่การเติบโตชะลอตัวลงจนเกือบจะหยุดนิ่ง โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซนลดลงสู่ระดับ 50.5 ในเดือนส.ค. จาก 51.0 ในเดือนก.ค.
เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ยอดสั่งซื้อใหม่โดยรวมพลิกกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. ปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ในยูโรโซนที่ช่วยพยุงไว้ แต่ยอดคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกยังคงน่าเป็นห่วง โดยหดตัวลงในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ให้ทัศนะว่า "เศรษฐกิจยูโรโซนตอนนี้เหมือนคนปั่นจักรยานช้าเกินไปจนเสี่ยงจะล้ม แม้จะเติบโตมาตลอดตั้งแต่ต้นปี แต่ก็เป็นไปในอัตราที่ช้าอย่างน่าอึดอัด" เขายังชี้ว่า ปัญหาการเมืองในฝรั่งเศสและสเปน ความไม่แน่นอนของข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และปัญหาในอุตสาหกรรมยานยนต์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมสถานการณ์
ในด้านการจ้างงาน ภาพรวมขยายตัวในอัตราสูงสุดรอบ 14 เดือน โดยบริษัทในภาคบริการยังคงจ้างคนเพิ่ม แต่ภาคโรงงานยังคงปลดคนงานอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันด้านราคาที่กลับมาสูงขึ้นในเดือนส.ค. ทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งเร็วสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และการปรับขึ้นราคาสินค้าของผู้ประกอบการที่มากที่สุดในรอบ 4 เดือน อาจทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องขบคิดเรื่องเงินเฟ้อหนักขึ้น แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่ 2.1% ซึ่งยังใกล้เคียงเป้าหมาย 2% ของ ECB ก็ยิ่งตอกย้ำการคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะยังคงเดิมในระยะอันใกล้นี้
ด้านความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ยังคงย่ำอยู่กับที่และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนยังคงไม่วางใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต