สำนักงานศุลกากรของสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยในวันนี้ (21 ต.ค.) ว่า ยอดส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งไม่นับรวมทองคำ ปรับตัวขึ้น 43% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบกับเดือนส.ค. ขณะที่ยอดการส่งออกโดยรวมปรับตัวขึ้น 3.4% ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการสินค้าของสวิตเซอร์แลนด์ยังคงแข็งแกร่ง แม้เผชิญกับผลกระทบจากการที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์สูงถึง 39% ก็ตาม
ส่วนยอดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มายังสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้นเพียง 5.5% ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้นเป็น 3.3 พันล้านฟรังก์ (4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนก.ย. จากระดับ 2.06 พันล้านฟรังก์ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการขาดดุลมากที่สุดในเดือนเม.ย.ปีนี้
ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นข้อมูลชุดแรกที่แสดงให้เห็นว่าการค้าของสวิตเซอร์แลนด์ยังคงมีการไหลเวียนตลอดทั้งเดือน แม้ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ในอัตรา 39% เมื่อช่วงต้นเดือนส.ค.
อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวของทรัมป์ส่งผลให้รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า โดยภาษีศุลกากรที่ทรัมป์เรียกเก็บจากสวิตเซอร์แลนด์นั้น ถือเป็นอัตราสูงที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว และส่งผลกระทบต่อสินค้าที่เป็นซิกเนเจอร์ของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่นาฬิกา ไปจนถึงเครื่องจักรและช็อกโกแลต นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ายา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอีกชนิดหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ยังคงเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอให้มีการปรับลดภาษี แม้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จยังคงคลุมเครือ โดยโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหรัฐฯ อาจจะทำข้อตกลงกับสวิตเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ แต่นับตั้งแต่นั้นก็แทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้า