สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้นเพียง 1.3% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.8% และชะลอตัวลงจากเดือนต.ค.ที่พุ่งขึ้น 2.9%
ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 4.8% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนต.ค.ที่เพิ่มขึ้น 4.9% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5%
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรช่วงเดือนม.ค.-พ.ย. ลดลง 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 2.3% และย่ำแย่กว่าในช่วงเดือนม.ค.-ต.ค. ที่ลดลงเพียง 1.7% นอกจากนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรช่วงเดือนม.ค.-พ.ย. ยังปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปี 2563
ข้อมูลเศรษฐกิจทั้งสามรายการที่เผยแพร่ในวันนี้ (15 ธ.ค.) สะท้อนให้เห็นว่า การอุปโภคบริโภคของจีนยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล ขณะที่เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของจีนให้คำมั่นว่าจะให้การสนับสนุนด้านนโยบายเพิ่มเติมเพื่อขับเคลื่อนอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนสำหรับปีหน้า
กระทรวงการคลังของจีนออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (13 ธ.ค.) ว่า ทางกระทรวงฯ มีแผนที่จะออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษระยะยาวพิเศษในปีหน้า เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการที่เสริมสร้างความมั่นคงของชาติ โดยรายได้ดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการอัปเกรดอุปกรณ์และโครงการแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังให้คำมั่นที่จะเพิ่มงบประมาณสำหรับการลงทุน เพื่อบรรเทาภาวะการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ซบเซาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ทางด้านคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จีนจำเป็นต้องเร่งสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ และลดการพึ่งพาการส่งออกเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
กอร์เกียวาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธที่แล้ว (10 ธ.ค.) ว่า การที่จีนมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกนั้น บ่งชี้ว่าจีนมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งจากการส่งออกได้ และเตือนว่าหากจีนยังคงพึ่งพาการส่งออกเช่นนี้ต่อไป ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์การค้าทั่วโลกมีความตึงเครียดมากขึ้น