เอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก ได้แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การที่สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวจะช่วยลดผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ
ความคิดเห็นดังกล่าวมีขึ้น หลังสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้พบปะเจรจาการค้ากับเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้อัตราภาษีของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน ลดลงสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% และอัตราภาษีของจีนที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125%
คุกเลอร์กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดที่กรุงดับลินของไอร์แลนด์ในวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า การที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วันนั้น ได้ลดโอกาสที่เฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับชะลอตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมกับกล่าวว่า ผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ด้านการค้าของทั้งสองประเทศมีความคืบหน้ามากขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ดี คุกเลอร์มองว่า อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 30% เป็นเวลา 90 วันนั้น ยังคงเป็นระดับที่สูงมาก ซึ่งคาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจในสหรัฐฯ ชะลอตัวลง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เธอคาดหวังว่าผลกระทบเหล่านั้นจะลดน้อยลง
ทางด้านออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ และลดความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น (Stagflation) อย่างไรก็ดีเขามองว่า อัตราภาษีศุลกากรในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงกว่าเดิม 3-5 เท่า ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีโอกาสที่จะเผชิญภาวะ Stagflation
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ตามคาด ขณะที่แถลงการณ์ของเฟดได้เตือนถึงความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจ และความเสี่ยงของการเกิดภาวะ Stagflation โดยระบุว่า "คณะกรรมการเฟดให้ความสนใจต่อความเสี่ยงที่มีต่อพันธกรณีทั้งสองประการของเฟด และประเมินว่าความเสี่ยงของการว่างงานที่สูงขึ้นและเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นได้เพิ่มขึ้นแล้ว"