ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐในกรุงนิวยอร์กมีคำสั่งวานนี้ให้ระงับการใช้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยศาลวินิจฉัยว่า ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต เนื่องจากรัฐธรรมนูญสหรัฐให้อำนาจแก่รัฐสภาในการกำหนดกฎเกณฑ์ด้านการค้ากับประเทศอื่น ๆ โดยไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดี
ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลได้ยับยั้งการเก็บภาษีพื้นฐาน 10% ต่อสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงการเรียกเก็บภาษีต่อจีน แคนาดา และเม็กซิโก แต่ไม่รวมภาษีที่เรียกเก็บตามกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์
นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ปธน.ทรัมป์ยังคงมีช่องทางตามกฎหมายอื่น ๆ ที่สามารถใช้เพื่อเรียกเก็บภาษีได้ ได้แก่การใช้มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าสหรัฐ รวมทั้งมาตรา 301, มาตรา 232 และมาตรา 338
ทั้งนี้ มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ จึงอาจเป็นช่องทางรวดเร็วที่สุดในการหลีกเลี่ยงอุปสรรคจากคำตัดสินของศาล
"รัฐบาลทรัมป์สามารถทดแทนภาษีพื้นฐาน 10% ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่สูงถึง 15% ได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรา 122" นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์กล่าว แต่เสริมว่า มาตรการนี้มีอายุไม่เกิน 150 วัน ซึ่งหลังจากนี้กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังสามารถเริ่มต้นการสอบสวนภายใต้มาตรา 301 ต่อประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ เพื่อปูทางไปสู่การเรียกเก็บภาษี แต่กระบวนการนี้จะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์
ส่วนภาษีตามมาตรา 232 ซึ่งใช้กับการนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์อยู่แล้ว ก็สามารถขยายไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ได้เช่นกัน โดยกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการบังคับใช้ หากการนำเข้านั้นเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ขณะที่มาตรา 338 ตามกฎหมายการค้าปี 1930 ให้อำนาจประธานาธิบดีในการเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึง 50% ต่อการนำเข้าจากประเทศที่เลือกปฏิบัติต่อสหรัฐ โดยมาตรการนี้ยังไม่เคยถูกนำมาใช้มาก่อน