สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) มีกำหนดเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ซึ่งได้แก่ราคาบ้าน, การผลิตภาคอุตสาหกรรม, ยอดค้าปลีก, การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และอัตราว่างงานเดือนพ.ค.
นักลงทุนในตลาดการเงินจับตาข้อมูลเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินว่าจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจที่ประมาณ 5% ได้หรือไม่ อีกทั้งเพื่อประเมินว่า เศรษฐกิจจีนจะสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หรือไม่
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ของจีนจะเพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบรายปี ชะลอตัวลงจากเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 5.1% ขณะเดียวกันคาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.จะขยายตัว 6% ใกล้เคียงกับในเดือนเม.ย.ที่มีการขยายตัว 6.1% และคาดว่าการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรจะขยายตัว 4% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2567
เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณอ่อนแอลงและมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะเงินฝืด โดยล่าสุดสำนักงานสถิติจีนรายงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (9 มิ.ย.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนราคาสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ลดลง 3.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งปรับตัวลงต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2565 บ่งชี้ว่า จีนยังคงเผชิญกับภาวะเงินฝืด แม้รัฐบาลจีนพยายามกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศก็ตาม
ส่วนยอดส่งออกเดือนพ.ค.ของจีนเพิ่มขึ้นเพียง 4.8% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ยอดนำเข้าร่วงลง 3.4% ในเดือนพ.ค. ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 0.9%