ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ได้รับการเปิดเผยระหว่างการประชุมกลุ่ม G7 ที่เมืองคานานาสกิส ประเทศแคนาดา โดยนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ร่วมกันลงนามในเอกสารที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการลดภาษีสินค้าหลักและการเพิ่มโควตาการค้าระหว่างสองประเทศ
หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการลดภาษีนำเข้ารถยนต์อังกฤษจากเดิม 27.5% เหลือ 10% สำหรับโควตาปีละ 100,000 คัน และการยกเว้นภาษีนำเข้าระดับฐาน 10% ต่อภาคการบินพลเรือนของสหราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นการผ่อนปรนที่สำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้อย่างชัดเจนคือภาษีนำเข้าเหล็ก โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ยอมให้สหราชอาณาจักรส่งออกภายใต้โควตาที่จะกำหนดในภายหลัง ขณะที่โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ จะเป็นผู้ตัดสินใจปริมาณเหล็กที่สามารถเข้าสู่สหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษี 25%
อังกฤษเองก็ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะเรื่องความเป็นเจ้าของของโรงงานผลิตเหล็ก ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจ เนื่องจากบริษัทบริติช สตีล (British Steel) ผู้ดำเนินกิจการเตาหลอมเหล็กดิบรายสุดท้ายของประเทศ แม้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอังกฤษ แต่ยังคงมีเจ้าของตามกฎหมายเป็นจิงเย่ กรุ๊ป (Jingye Group) ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจีน
นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงด้านสินค้าเกษตร โดยทั้งสองประเทศจะมีโควตานำเข้าเนื้อวัว 13,000 ตันเท่ากัน แต่สหราชอาณาจักรยืนยันว่าจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพอาหารอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานของประเทศก่อนนำเข้า
ประธานาธิบดีทรัมป์ถือว่าข้อตกลงนี้เป็นชัยชนะในนโยบายสงครามภาษี โดยใช้เป็นตัวอย่างว่า แนวทางกดดันด้านภาษีนำเข้าส่งผลให้ประเทศคู่ค้าอย่างอังกฤษยอมเปิดตลาดในบางจุด ขณะที่รัฐบาลอังกฤษก็สามารถปกป้องอุตสาหกรรมหลักบางส่วนได้ก่อนที่ประเทศอื่นจะเข้าสู่โต๊ะเจรจากับสหรัฐฯ
การบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นดีลการค้าฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามนับตั้งแต่เปิดฉากนโยบายภาษีต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีกรอบข้อตกลงเบื้องต้นกับจีน แต่การเจรจากับประเทศอื่นยังล่าช้า
แม้มีความสำเร็จในบางด้าน แต่การที่ยังไม่สามารถลดภาษีเหล็กตามเป้าหมายเดิมจาก 25% ลงเหลือ 0% ได้ในทันที ก็สะท้อนถึงความท้าทายที่ยังต้องติดตามต่อไป