ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลยังคงทวีความรุนแรงขึ้นและยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ได้กลายเป็นจุดที่ผู้สังเกตการณ์ทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากช่องแคบแห่งนี้ถือเป็นเส้นทางการขนส่งที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 มิ.ย.) และอิหร่านได้ตอบโต้ด้วยการโจมตีอิสราเอล ส่งผลให้การสู้รบของทั้งสองประเทศยืดเยื้อเข้าสู่วันที่เจ็ดแล้วในวันนี้ (19 มิ.ย.) โดยความขัดแย้งดังกล่าวทำให้บริษัทเดือนเรือต่างเพิ่มความระมัดระวังทั้งในทะเลแดง และช่องแคบฮอร์มุซ
ความจริงแล้ว ช่องแคบฮอร์มุซถูกจับตานับตั้งแต่อิสราเอลประกาศทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ โดยเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 กลุ่มฮามาสได้เปิดฉากโจมตีดินแดนอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้ประชาชนในอิสราเอลเสียชีวิตและถูกจับเป็นตัวประกันจำนวนมาก จากนั้นอิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดินในฉนวนกาซา เหตุการณ์ดังกล่าวถูกมองว่าอิหร่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังด้วยการสนับสนุนกลุ่มฮามาสในการทำสงครามตัวแทน และเมื่อสถานการณ์ลุกลามเป็นวงกว้าง บรรดากลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่น ๆ ที่อิหร่านให้การสนับสนุนต่างก็ประกาศยืนเคียงข้างกลุ่มฮามาสและหันปากกระบอกปืนเข้าสู้รบกับอิสราเอลทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งรวมถึงกลุ่มฮูตีในเยเมน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
- ความสำคัญของช่องแคบฮอร์มุซ
ข้อมูลจาก Statista ระบุว่า ช่องฮอร์มุซซึ่งอยู่ระหว่างโอมานกับอิหร่านมีความสำคัญอย่างมาก เป็นหนึ่งในเส้นทางเดินทะเลที่สำคัญที่สุดของโลก โดยในปี 2566 ปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซคิดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของปริมาณน้ำมันที่ค้าขายทางทะเลทั่วโลก และปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ขนส่งผ่านช่องแคบแห่งนี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของการค้า LNG ทางทะเลทั่วโลก
ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ปริมาณน้ำมันที่มีการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเฉลี่ยอยู่ที่ 20.9 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2566 ขณะเดียวกัน EIA ประมาณการว่า 83% ของน้ำมันดิบและคอนเดนเสท (condensate) ที่ลำเลียงผ่านช่องแคบแห่งนี้ถูกส่งไปยังตลาดเอเชีย โดยมีจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นจุดหมายปลายทางหลัก
ทางด้านสหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบและคอนเดนเสทผ่านช่องแคบฮอร์มุซประมาณ 5 แสนบาร์เรล/วันในปีดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วน 8% ของการนำเข้าน้ำมันดิบและคอนเดนเสททั้งหมดของสหรัฐฯ และคิดเป็น 2% ของปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลวทั้งหมดของสหรัฐฯ โดย EIA ระบุเพิ่มเติมว่า มีเพียงซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้นที่มีท่อส่งน้ำมันดิบที่สามารถหลีกเลี่ยงช่องแคบฮอร์มุซได้
- ช่องแคบสำคัญอื่น ๆ มีที่ใดบ้าง
นอกเหนือจากช่องแคบฮอร์มุซแล้ว ช่องแคบมะละกา (Strait of Malacca) ซึ่งอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก ถือเป็นช่องแคบทางทะเลเพียงแห่งเดียวที่มีขนาดใหญ่กว่าช่องแคบฮอร์มุซในแง่ของปริมาณการขนส่งน้ำมัน โดยถือเป็นช่องแคบหลักทางทะเลในเอเชีย ซึ่งคาดว่ามีน้ำมันขนส่งผ่านช่องแคบแห่งนี้ประมาณ 23.7 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2566
ขณะเดียวกัน คลองสุเอซ (Suez Canal) ท่อส่งน้ำมัน SUMED และช่องแคบบับเอลมันเดบ (Bab el-Mandeb Strait) ก็เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำหรับการขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากอ่าวเปอร์เซียไปยังยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยคลองสุเอซและท่อส่งน้ำมัน SUMED ตั้งอยู่ในอียิปต์ เชื่อมต่อทะเลแดงกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในขณะที่ช่องแคบบับเอลมันเดบอยู่ระหว่างจะงอยแอฟริกา (Horn of Africa) กับตะวันออกกลาง โดยเชื่อมต่อทะเลแดงกับอ่าวเอเดนและทะเลอาหรับ
- ราคาน้ำมันจ่อพุ่งร้อนแรง หากอิหร่านหักดิบปิดช่องแคบฮอร์มุซ
แม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากช่องแคบแห่งนี้ถูกปิดแม้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างมาก อีกทั้งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันหากภาวะชะงักงันยืดเยื้อออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการที่อิหร่านเคยขู่ว่าจะปิดช่องแคบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยดำเนินการเต็มรูปแบบ
นักวิเคราะห์จากบริษัทโกลบอล ริสก์ แมเนจเมนต์ (Global Risk Management) กล่าวว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ หากอิหร่านตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันทั่วโลกมากถึง 20% ขณะที่เจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 120-130 ดอลลาร์/บาร์เรล หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ
นักวิเคราะห์หลายรายกังวลว่า หากสหรัฐฯ เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในครั้งนี้ อาจทำให้ความขัดแย้งขยายตัวเป็นวงกว้าง และทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในภูมิภาคมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะการถูกโจมตี
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก ING ระบุว่า สิ่งที่ตลาดน้ำมันวิตกกังวลมากที่สุดคือการปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลกต้องขนส่งผ่านช่องแคบแห่งนี้ และหากการขนส่งน้ำมันหยุดชะงักลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ อิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยมีการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 3.3 ล้านบาร์เรล/วัน
- บริษัทเดินเรือเริ่มเลี่ยงช่องแคบฮอร์มุซ หวั่นศึกอิหร่าน-อิสราเอลยืดเยื้อ
สภาการเดินเรือทะเลบอลติกและระหว่างประเทศ (BIMCO) ซึ่งเป็นสมาคมการเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า บริษัทเดินเรือบางแห่งกำลังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านช่องแคบฮอร์มุซ สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการเดินเรือมีความกังวลมากขึ้นต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ทวีความรุนแรงในขณะนี้
จาคอป ลาร์เซน หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ BIMCO กล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดความกังวลในหมู่บริษัทเดินเรือ และส่งผลให้จำนวนเรือที่แล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุซลดน้อยลง
ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล มาร์เก็ต อินเทลลิเจนซ์ (S&P Global Market Intelligence) ระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่ากลุ่มบริษัทเดินเรือกำลังเริ่มหลีกเลี่ยงการเดินเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยไม่ได้ระบุชื่อบริษัทใดอย่างเจาะจง
ช่องแคบฮอร์มุซถือเป็นประตูสำคัญสู่อุตสาหกรรมน้ำมันโลก และเป็นจุดขาเข้าที่สำคัญสำหรับเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่มุ่งหน้าสู่ท่าเรือเจเบลอาลี (Jebel Ali Port) ซึ่งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ของดูไบ ทั้งนี้ การที่เรือเดินสินค้าไม่สามารถขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น เพิ่มต้นทุนการขนส่ง และทำให้การจัดหาสินค้าเกิดความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ
- ประเมินสถานการณ์ตะวันออกกลาง ทั่วโลกหวั่นทรัมป์อาจร่วมวงอิสราเอลถล่มอิหร่าน
อิหร่านและอิสราเอลยังคงเดินหน้าโจมตีกันทางอากาศอย่างต่อเนื่องในวันนี้ (19 มิ.ย.) ขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตาท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ว่าจะเข้าร่วมกับอิสราเอลในการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านหรือไม่
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่บริเวณนอกทำเนียบขาวในวันพุธ (18 มิ.ย.) ปธน.ทรัมป์ไม่ตอบว่าเขาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการโจมตีทางอากาศกับอิสราเอลหรือไม่ โดยกล่าวว่า "ผมอาจจะทำ หรืออาจจะไม่ทำก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าผมจะทำอะไร" จากนั้นไม่นานเขากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เจ้าหน้าที่อิหร่านได้ติดต่อมาเพื่อเจรจา รวมถึงความเป็นไปได้ในการพบกันที่ทำเนียบขาว แต่เขากล่าวว่า "มันสายเกินไปที่จะพูดคุย"
แหล่งข่าวเปิดเผยกับสื่อว่า หนึ่งในทางเลือกที่ปธน.ทรัมป์และคณะบริหารของเขากำลังพิจารณาคือการเข้าร่วมกับอิสราเอลในการโจมตีเป้าหมายนิวเคลียร์ของอิหร่าน ขณะที่แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ที่จะมีการโจมตีอิหร่านในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของปธน.ทรัมป์ ที่ต้องการให้อิหร่านยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข ขณะที่ปธน.ทรัมป์กล่าวว่าความอดทนของเขาหมดลงแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ระบุว่าการดำเนินการขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ การที่อิสราเอลใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและขีปนาวุธต่ออิหร่านตลอดหนึ่งสัปดาห์ได้คร่าชีวิตผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพอิหร่าน อีกทั้งสร้างความเสียหายต่อขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ และส่งผลให้ประชาชนในอิหร่านเสียชีวิตหลายร้อยคน ในขณะที่การโจมตีตอบโต้ของอิหร่านได้คร่าชีวิตพลเรือนในอิสราเอลไปแล้ว 24 คน
ความขัดแย้งที่เลวร้ายที่สุดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลได้เพิ่มความวิตกกังวลว่าอาจจะดึงบรรดาชาติมหาอำนาจโลกเข้ามาร่วมวง และบั่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางที่อ่อนแออยู่แล้วจากผลกระทบของสงครามกาซา ขณะเดียวกันมีรายงานว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ วางแผนที่จะจัดการเจรจานิวเคลียร์ร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านในวันศุกร์นี้ (20 มิ.ย.) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเรียกร้องให้อิหร่านกลับสู่โต๊ะเจรจา